เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 นายวรวิทย์ อัคราภิชาต ผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับคณะกรรมาธิการการศึกษาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายโสภณ ซารัมย์ เป็นประธาน และนายสุรวาท ทองบุ เป็นรองประธานฯ เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาลูกจ้าง สพฐ. ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 70,000 คนทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้นนั้น โดยวันนี้กรรมาธิการการศึกษาฯได้เชิญตัวแทน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)คณะกรรมการกำหนด เป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)มาให้ข้อมูล
นายวรวิทย์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ จากการประชุมหารือของทุกฝ่าย กรรมาธิการการศึกษาฯ มอบหมายให้ สพฐ.ไปคุยกับกระทรวงการคลัง ว่าลูกจ้างที่มีภาระงานเข้าข่ายในการจ้างงบบุคลากรลูกจ้างชั่วคราวที่มีความจำเป็นสามารถจ้าง เป็นลูกจ้างชั่วคราวได้ ได้ความอย่างไรก็ให้นำเรื่องกลับมาที่ ก.พ.เพื่อให้เปิดกรอบอัตราจะให้กี่อัตรา อย่างไรก็ตามลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มีกว่า 70,000 คน ซึ่งกรรมาธิการการศึกษาฯก็บอกว่าคนที่ได้รับสิทธิ์อยู่แล้วก็ควรคืนสิทธิ์ให้โดยชอบธรรม ส่วนคนที่เข้ามาในเกณฑ์ใหม่ที่กำหนดคุณสมบัติใหม่ก็จะพิจารณาอีกกรณีหนึ่ง
ทั้งนี้ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แจงว่าจะรีบดำเนินการให้และจะทำควบคู่กันไปโดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จะของบประมาณกลาง เพื่อดูแลเรื่องขวัญและกำลังใจให้คนที่จบปริญญาตรีได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ 18,000 บาท ต่ำกว่าปริญญาตรี 12,000 บาท ควบคู่ไปด้วยให้รอหน่อย และจะรีบเตรียมข้อมูลที่จะเข้าคุยกับกระทรวงการคลังโดยเร็ว
“วันนี้ ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่เราได้มารับฟังกรรมาธิการการศึกษาฯรับปากว่าจะช่วย แต่อย่างไรก็ตามสมาพันธ์ฯก็ต้องดูท่าทีว่า สพฐ.จะเร่งดำเนินการให้อย่างที่พูดไว้หรือไม่ ส่วนที่บอกว่า จะเคลื่อนม็อบใหญ่มาในวันที่ 18 มีนาคม นี้ ก็ยังไม่ได้ข้อยุติว่าพี่น้องที่ได้รับความเดือดจะเปลี่ยนใจไม่มาหรือไม่ ต้องดูท่าทีก่อนว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือความเดือดร้อนให้พี่น้องพวกเราอย่างไร” นายวรวิทย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ สพฐ.ได้ทำหนังสือหารือไปยัง กรมบัญชีกลาง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเป็นผู้ออกระเบียบในการจ้างผู้ปฏิบัติงานและจัดสรรเงินงบประมาณ โดยขอหารือใน 4 ประเด็น คือ 1. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าวถือเป็นการจ้างลูกจ้างชั่วคราวหรือการจ้างเหมาบริการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และการจ้างเอกชนดำเนินงาน ซึ่งส่วนราชการต้องดำเนินการเป็นไปตามนัยของหนังสือที่อ้างถึง 2. การจ้างผู้ปฏิบัติงานให้ราชการดังกล่าว สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ในฐานะผู้ว่าจ้างสามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคมได้หรือไม่ 3. หาก สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบในส่วนของนายจ้างเข้ากองทุนประกันสังคม ตามข้อ 2 สพฐ. สามารถขอเงินเพิ่มเพื่อจ่ายเงินในส่วนของผู้ว่าจ้างได้หรือไม่ และ 4.สพฐ. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในฐานะผู้ว่าจ้าง ต้องจ่ายอัตราค่าแรงขั้นต่ำและอัตราเงินเดือนให้กับผู้ปฏิบัติงานให้ราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ได้เห็นชอบรายงานผลการศึกษาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 (เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2567 ได้หรือไม่ โดยขอให้กรมบัญชีกลางตอบข้อหารือดังกล่าวภายในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ซึ่งทางกรมบัญชีกลางได้ ตอบกลับมาว่า ต้องดำเนินการตามระเบียบ และให้ สพฐ.ไปบริหารจัดการงบประมาณเอง ทาง สพฐ.จึงได้ทำรายงานเสนอ รมว.ศึกษาธิการแล้ว แต่ รมว.ศึกษาธิการเห็นว่า มีลูกจ้างอยู่ทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก จะเสนอแค่ของกระทรวงศึกษาธิการ คงไม่ได้ จึงรอดูของหน่วยงานอื่นก่อนว่าได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่