เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ข้อมูลล่าสุดของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขพบว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และโรคไข้หวัดใหญ่ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนต่อเนื่องทั้งในโรงเรียน เรือนจำ ค่ายทหาร วัด และโรงงาน ระหว่างวันที่ 9-15 มิ.ย.2567 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จำนวน 2,881 ราย เฉลี่ยวันละ 412 ราย ซึ่ง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความเป็นห่วงสุขภาพอนามัยของนักเรียน ได้เน้นย้ำให้สถานศึกษาติดตามสถานการณ์ เฝ้าระวัง และดูแลเรื่องสุขภาพอนามัยของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ.ได้ทำหนังสือแจ้งเวียนและมีข้อเน้นย้ำไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.)ทั่วประเทศเรื่องมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานศึกษา โดยให้ยึดแนวทางปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเดิม คือ ตรวจคัดกรองเด็กและบุคลากร ก่อนเข้าเรียนทุกเช้า แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เว้นระยะห่างสวมหน้ากากอนามัย หมั่นทำความสะอาด และจัดจุดบริการให้มีการล้างมือ สบู่และน้ำสะอาด หรือเจลแอลกอฮอล์ พร้อมจัดทำแผนเผชิญเหตุป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเรื่องที่ต้องระวังมากที่สุด คือ การกลับมาระบาดอีกครั้งของ โควิด-19 หากในพื้นที่ใดมีการระบาดค่อนข้างรุนแรง ก็ให้ขอความร่วมมือกระทรวงสาธารณสุข หรือจังหวัด และปิดการเรียนก่อน โดยสามารถจัดการเรียนการสอนเรียนในรูปแบบอื่น หรือให้เรียนออนไลน์ ออนดีมานด์ ออนแอร์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่สถานศึกษาเคยดำเนินการในช่วงโรคโควิด-19 แพร่ระบาดหนัก ทั้งนี้ ตนขอเน้นย้ำให้โรงเรียนสร้างความตระหนักรู้ และสร้างทักษะ การเฝ้าระวัง ดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของตนเองให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อไม่ประมาท มีการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ เป็นพาหะ และเจ็บป่วยได้
“สุภาพอามัยของนักเรียน เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่สถานศึกษาต้องดูแล ซึ่งไม่เฉพาะการป้องกันโรคโควิด-19 หรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจที่แพร่ระบาดในปัจจุบันเท่านั้น สถานศึกษาต้องติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์โรคอุบัติใหม่อื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันได้ทันท่วงที ขณะเดียวกันต้องกำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพอนามัยทั้งด้านน้ำหนักและส่วนสูงของนักเรียนให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด, ส่งเสริมให้นักเรียนได้บริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและหลักการบริโภคที่เหมาะสม, ให้เด็กได้ออกกำลังกายและเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ, โรงเรียนกับผู้ปกครองนักเรียน ควรมีการทำข้อตกลงร่วมกันในการป้องกัน บำบัดและดูแลรักษา ระหว่างที่นักเรียนอยู่ที่โรงเรียนเป็นหน้าที่ของครู และเมื่อนักเรียนกลับไปที่บ้านก็จะเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ตลอดจนร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ชุมชน ท้องที่ ท้องถิ่น หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการเฝ้าระวังดูแลสุขภาพอนามัยสุขภาพอนามัยเด็กอย่างต่อเนื่อง” นายธีร์กล่าว.