เมื่อวันที่ 14 กันยายน ที่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประชุมมอบนโยบายการศึกษา และแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” โดยมีผู้บริหารระดับสูง ศธ. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วมรับมอบนโยบาย ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยก่อนจะมอบนโยบาย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ได้สุ่มตรวจสัญญาณเขตพื้นที่ โรงเรียน ที่อยู่ห่างไกลและอยู่ในเมืองว่ามีสัญญาณไปถึงหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อดูว่ามีใครสนใจรับฟังนโยบายการศึกษาที่จะมอบให้ไปดำเนินงานหรือเปล่า โดยพล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมทางไกล เพื่อให้ผู้บริหารทุกระดับทั้งระดับสูง ระดับกลาง และระดับต้น เข้าร่วมรับฟังนโยบายการศึกษา การทำงานต่อไปนี้จะเป็นไปในรูปแบบการมีส่วนร่วมโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อน ซึ่งการทำงานของตนจะทำในรูปแบบของการสุ่ม ซึ่งได้ต้นแบบมาจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว  อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของตนเอง  อีกส่วนได้รับการ ประสิทธิ์ประสาทวิชา มาจากครูทุกคน ซึ่งครูคนแรกของตนคือ คุณแม่ คุณพ่อ นายชัย ชิดชอบ ซึ่งเป็นทั้งครู กำนัน และอดีตประธานรัฐสภา  คุณพ่อของตนเคยเป็นอดีตครูประชาบาล  สอนตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่1- 4 ทำให้เห็นสภาพความยากลำบาก โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีครูคนเดียวสอนทุกชั้นปี  ดังนั้น จึงเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่ง ที่อยากจะเข้ามาทำงานในส่วนนี้ โดยมีคุณพ่อเป็นต้นแบบในการทำงานดูแลประชาชน

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า  การดำเนินการของตนจะอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีความตั้งใจอย่างซื่อสัตย์สุจริต จะดำเนินการอย่างเป็นกัลยาณมิตร ภายใต้การทำงาน “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” ตนมาถึงจุดนี้ได้ถือว่า เป็นพระคุณของครูที่ให้ความรู้แก่ตนทั้งครูในสถานศึกษาและครูในชีวิต ที่ผ่านมาตนได้รับทราบปัญหาจากคุณพ่อ ซึ่งเคยเป็นครูประชาบาลมาแล้วส่วนหนึ่ง รวมถึงได้รับฟังปัญหาจากสถานศึกษาที่ได้เข้าตรวจเยี่ยมแบบไม่แจ้งล่วงหน้าแล้วส่วนหนึ่ง ทำให้รู้สึกมีความอุ่นใจว่า แม้ไม่มีตน ทุกคนสามารถขับเคลื่อนได้อย่างดีแต่เมื่อได้เข้ามาทำงาน ก็จะได้ร่วมขับเคลื่อนให้ดีขึ้นไปอีก  โดยได้หาคำที่จะเป็นมอตโต้ ง่าย ๆ ที่จะใช้ในการทำงานร่วมกันคือ “เรียนดี มีความสุข”  ทั้งผู้เรียนและผู้ปกครอง เพราะถ้ามีความสุขแล้ว ก็จะทำให้การเรียนดีขึ้น  ตนเป็นตำรวจ อาจจะฝึกหนัก ตอนที่ฝึกอาจจะไม่มีความสุขเท่าไร แต่เมื่อฝึกเสร็จแล้ว ก็จะมีความสุข มีร่างกายที่แข็งแรง ความสุขไม่ใช่ความสนุกอย่างเดียว อยากให้ทุกคนร่วมกันอย่างเต็มที่ เพื่อสามารถขับเคลื่อน ผลักดันการจัดการศึกษา ให้ดี โดยมีแนวทางการจัดการศึกษา 2 รูปแบบ คือ การเรียนสู่ความเป็นเลิศ และการเรียนเพื่อความมั่นคงในชีวิต

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า จากแนวคิดการจัดการศึกษาทั้ง 2 รูปแบบ จะกลายเป็นมายแมพ ง่าย ๆ ดังนี้ 1. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยจะปรับวิธีการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา ลดขั้นตอนมุ่งผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน โดยดำเนินการ ปรับระบบวิธีการประเมิน โดยเน้นตามสภาพจริง ลดการทำเอกสาร ลดขั้นตอนการประเมิน ไม่ให้ซับซ้อน ยุ่งยาก และเป็นธรรม โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนตามช่วงวัย คำนึงถึงบริบทของสถานศึกษาปรับระบบการประเมินเพื่อเลื่อนเงินเดือนและประเมินวิทยฐานะ ให้มีความเชื่อมโยงกัน และนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งในการประเมิน

2.การโยกย้ายครูและบุคลากรทางการศึกษากลับภูมิลำเนาด้วยความโปร่งใส ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง  ซึ่งจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์การย้ายให้มีความชัดเจน และยืดหยุ่น รวมทั้งอาจจะต้องมีการใช้บทลงโทษที่เข้มงวด กับผู้ที่มีการเรียกรับผลประโยชน์ในการโยกย้าย ซึ่งหากไปถามผู้ใต้บังคับบัญชา จะรู้ว่าตนมีนิสัยอย่างไร ถ้าเตือนแล้วไม่ฟัง ก็กัดไม่ปล่อย อย่าคิดว่าจะเอาใครมาเคลียร์กับตนได้ เพราะเป็นคนประเภทหัวดื้อ ถ้าคิดว่าผิดแล้ว ก็ต้องเอาให้อยู่ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภัยต่อข้าราชการครู ดังนั้นจึงอยากขอร้องว่า อย่าไปรีดเลือดครูด้วยกัน  ขณะเดียวกันก็ขอให้ สถาบันผลิตครู และหน่วยใช้ครู ร่วมกันสำรวจความต้องการครูแต่ละสาขาวิชาที่ขาดแคลนในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาให้ผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษากลับมาเป็นครู หรือครูผู้ช่วยในภูมิลำเนาของตนเอง 3.แก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา  สร้างความเข้าใจในการวางแผนการใช้เงิน  หน่วยงานต้นสังกัด ประสานการจัดการให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รีไฟแนนซ์ หรือรวมหนี้เป็นก้อนเดียว เพื่อลดภาระการผ่อนชำระ โดยลดดอกเบี้ยให้ถูกลง ระยะเวลาผ่อนส่งยาวขึ้น พักชำระดอกเบี้ยให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู และสถานบันการเงินโดยรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี โดยชำระเพียงเงินต้น เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ครูทั่วประเทศ แม้จะแก้ปัญหาได้เพียง5-10% ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

4.จัดหาอุปกรณ์การสอนสวัสดิการต่าง ๆ ให้กับครู เช่น โครงการ 1 ครู 1 แท็บเล็ต ซึ่งเป็นโยบายรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการสอดรับ บูรณาการความร่วมมือกับภาคเอกชน ผู้เป็นเจ้าของสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และภาครัฐ ในการพัฒนาเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่  และสนับสนุนงบประมาณเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน  พัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง  เรียนทุกที่ทุกเวลา เรียนฟรี มีงานทำ “ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ” มีระบบแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จัดหา 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต  โดยส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการจัดการศึกษา และให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมระหว่างเรียนหรือระหว่างฝึกอาชีพ  สร้างโอกาสการมีงานทำ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันแรงงานเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น  ส่งเสริมการจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคีอย่างจริงจัง  สนับสนุน จัดหาอุปกรณ์ ในการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน  จัดหาแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงระบบออนไลน์รองรับการใช้งานให้เพียงพอกับจำนวนผู้เรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาของโลกในยุคดิจิทัล โดยจะต้องดูงบประมาณ ว่าจะเป็นระบบเช่า หรือซื้อ  เพื่อให้เด็กได้เข้าถึง บูรณาการความร่วมมือกับภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต พัฒนาแอฟพริเคชั่น เพื่อการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์  จัดทำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนสามารถเข้าสู่แหล่งเรียนรู้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และพัฒนาการศึกษาผ่านระบบการสะสมหน่วยการเรียนรู้ หรือเครดิตแบงก์ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักเรียนได้เรียนและทำงานไปในเวลาเดียวกัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเปลี่ยนสาขาการเรียนได้ เพื่อให้ตรงกับความถนัดของผู้เรียน

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวอีกว่า ให้มีการจัดทำ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ จัดให้มีการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพต้นแบบอย่างน้อย 1 โรงเรียนในแต่ละอำเภอ หรือเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อนำร่องการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพ สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน สื่อ อุปกรณ์ และงบประมาณในการปรับปรุงสภาพแวดล้อม  จัดสรรครูและบุคลากรทางการศึกษาเพิ่มเติมโดยใช้เกณฑ์พิเศษ หรือมีงบประมาณจัดจ้างครูอัตราจ้างเพิ่มเติมในวิชาที่ขาดแคลน ทั้งนี้ระบบแนะแนวการเรียน หรือโค้ชชิ่ง และเป้าหมายชีวิต

พัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกระดับการศึกษาให้มีทักษะที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต จัดให้มีระบบการแนะแนวผู้เรียน ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นพบแนวทางการเรียนและเป้าหมายชีวิตของตนเอง  เน้นนวัตกรรมการเรียนรู้แบบ STEM Education (วิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มุ่งเน้นทักษะจากการปฏิบัติจริง และเสริมสร้างความสามารถด้วย Soft Skill ควบคู่การพัฒนา ประสานความร่วมมือกับกรมสุขภาพจิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ปัญหาสุขภาพจิตผู้เรียน รวมถึงการจัดทำระบบวัดผลรับรองมาตรฐานวิชาชีพ ผู้เรียนสามารถเรียนเพิ่ม เพื่อรับประกาศนียบัตรในการประกอบวิชาชีพ จัดระบบวัดผลเทียบระดับการศึกษา และประเมินผลการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนในระบบ ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่าย และมีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ บทบาทของศธ. คงจะต้องมีการทำข้อตกลง หรือเอ็มโอยู ร่วมกับกระทรวงแรงงาน และสถานประกอบการต่าง ๆ ในการจัดการเรียนการสอนให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ

“ทั้งหมดนี้ เป็นมายแมพในการทำงาน แต่ ยังมีข้อสั่งการและแนวปฏิบัติ ดังนี้ 1. ให้นำนโยบายของคณะรัฐมนตรี(ครม.) และรัฐมนตรีว่าการศธ. ไปดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมโดยจัดทำแผนปฏิบัติการหรือ แอคชั่นแพลนที่เป็นรูปธรรม 2. ดำเนินการป้องกันปราบปรามการทุจริต เช่น การบรรจุแต่งตั้งโยกย้าย ห้ามซื้อขายตำแหน่ง ถ้าได้ยิน ผมเอาจริง การจัดซื้อจัดจ้างให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส และต้องได้ของที่มีคุณภาพ เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและนักเรียน 3. อยากให้ผู้บริหาร และครูน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้และปลูกฝังให้นักเรียน 4. ร่วมกันใช้พลังงานสะอาด เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม 5. ส่งเสริมการอ่านอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งเป็นนโยบายรัฐบาล และนายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ได้เน้นย้ำ ให้ศธ. ช่วยผลักดัน สร้างนิสัยรักการอ่าน โดยอยากให้ผู้บริหารและครูเป็นต้นแบบในการรักการอ่าน  และ6.การลงพื้นที่ตรวจราชการ ขอความร่วมมือ ให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องมาเข้ารับการตรวจเยี่ยม ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ต้องเดินทางมา เพื่อไม่ให้การทำงานเกิดความบกพร่อง และหากผมไปตรวจเยี่ยมอยากให้เป็นไปด้วยความเรียบง่าย และประหยัด ขอเน้นผู้บริหารทุกระดับ เวลามาประชุม อยากให้ผ่านระบบออนไลน์ เพราะหากให้ครูเดินทางมาอาจต้องเสียค่าเดินทาง ไม่มีครูสอนนักเรียน ตรงนี้อยากให้เป็นแนวทาง ตัวอย่างเช่น ป้ายต้อนรับ สมัยผมเป็นตำรวจไม่อยากให้มี แต่ก็มีดื้อ ทำให้ผมต้องไปจ่ายค่าป้าย รวมถึงของฝากของที่ระลึก ไม่ต้องมี สิ่งที่จะให้ผมคือการดูแลเด็ก เรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมทำมาตลอดชีวิตราชการ ก็อยากขอร้อง เพราะผมไม่อยากเสียมาตรฐานของตัวเอง  สุดท้ายขอความร่วมมือ ตอบแบบสอบถาม ซึ่งจะมีคิวอาร์โค้ด เพื่อดูว่า อะไรเป็นสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้ทำ การทำงานของผมจะยึดหลักการนโยบายและแผนการทำงานเป็นหลัก  แต่ก็ต้องสามารถปรับได้  ผมพร้อมรับฟัง ผมไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว พร้อมปรับปรุงให้ดีขึ้น ผมอยากให้ทุกคนเป็นกระจกเงาสะท้อน เพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

 ด้านนายสุรศักดิ์  กล่าวว่า ศธ. เป็นกระทรวงสำคัญ ซึ่งตนตั้งใจจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้นโยบายของศธ. และรัฐบาลประสบความสำเร็จ  โดยตนขอย้ำว่า  ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่จะรับสนองนโยบายรัฐบาล และรมว.ศึกษาธิการ ไปดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ตนเองไม่ใช่บุคลากรทางการศึกษาโดยตรง แต่มิติมุมมองของตนและพล.ต.อ.เพิ่มพูน ก็อาจเป็นมิติที่บุคลากรทางการศึกษามองไม่เห็น สิ่งเหล่านี้จะมาเติมเต็ม เพื่อให้ทำงานต่อไปได้ โดยขอฝากตัวกับทุกคน ตนพร้อมจะทำงานอย่างเต็มที่และรับฟังความคิดเห็นจากทุกคน

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องการเรียกร้องสิทธิของเด็ก เช่นกรณี นางสาวธนลภย์ (สงวนนามสกุล) หรือ ‘น้องหยก’ วัย 15 ปี เรียกร้องสิทธิ์การเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ท่านคิดยังไง พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิเรียกร้อง แต่จะต้องไม่กระทบสิทธิของผู้อื่น

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments