เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ที่ศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยา ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี สภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย(สปคท.)ได้จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 “สร้าง เสริม สุข เพื่อเด็กและครอบครัวไทย”ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2566 โดย ดร.นิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้ผู้ปกครองมักคิดเสมอว่าลูกจะดีได้อยู่ที่โรงเรียน แต่จริง ๆ แล้วโรงเรียนทำได้ 40% ก็ดีแล้ว จะหวังให้ทำได้ 100% เป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่โรงเรียนให้ได้คือเรื่องสติปัญญา แต่คุณภาพของเด็กไม่ใช่เรื่องสติปัญญาอย่างเดียว ยังมีเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม ความมีจิตสาธารณะ แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เป็นปัญหาในเด็ก คือ เรื่องสุขภาพจิตใจและอารมณ์ รวมถึงการรับผิดชอบต่อสังคม และ ความมีจิตสาธารณะ

นายกสภาผู้ปกครองฯ กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นที่มาของแนวคิดหลักในการประชุมสภาฯ ว่า  “สร้าง เสริม สุข เพื่อเด็กและครอบครัวไทย” โดยผู้ปกครองทั้งประเทศมีกว่า  46 ล้านคน ขณะที่ครูทั่วประเทศมีแค่ไม่ถึงล้านคน เพราะฉะนั้นถ้าครูและโรงเรียนไม่สร้างความเข้าใจให้ผู้ปกครองในการดูแลชีวิตเด็ก สุดท้ายปัญหาก็จะมาตกที่โรงเรียน ทุกสิ่งอย่างก็ต้องโทษโรงเรียน ทำให้บางครั้งโรงเรียนต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว เพราะผู้ปกครองคิดว่าเป็นหน้าที่ของโรงเรียน ซึ่งมันไม่ใช่ แต่ต้องช่วยกัน ต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองให้ได้มิเช่นนั้นครูจะเหนื่อยมาก  จึงอยากฝากไปยังสมาคมผู้ปกครองฯของทุกโรงเรียนให้กลับไปคิดว่า จะทำความเข้าใจกับผู้ปกครองอย่างไร ให้เป็นคนสร้างทักษะชีวิต สร้างวินัย ความรับผิดชอบ สุขภาพที่ดี  โภชนาการที่ดีให้ลูกหลานของเขา ผู้ปกครองต้องคิดว่าจะรับผิดชอบสังคมอย่างไร เด็กเคยรู้หรือไม่ว่าการมีเสรีภาพต้องควบคู่ไปกับหน้าที่ แต่วันนี้เด็กรู้แต่ว่าเขามีเสรีภาพ แต่ไม่รู้ว่าหน้าที่คืออะไร ซึ่งก็เป็นเพราะครอบครัวไม่สอน ตนคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นพื้นฐานของครอบครัว

“ผมคิดว่าเครือข่ายผู้ปกครองจะต้องช่วยครูสร้างความเข้าใจกับครอบครัวและผู้ปกครอง ไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างโยนให้เป็นหน้าที่ของครู อะไร ๆ ก็โยนให้โรงเรียนและครู  ส่วนคำว่า ‘เสริม’ นั้น นอกจากทำเรื่องคุณภาพผู้เรียนแล้ว การเสริมในยุคของสังคมเทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสังคมเทคโนโลยีทุกวันนี้เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า เด็กจะมีแต่ความรู้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อมูลส่งเข้ามาในมือถือ เด็กจะรับทั้งหมดซึ่งมันคือความรู้เฉย ๆ แล้วเด็กก็จะส่งต่อความรู้โดยไม่มีการคิดวิเคราะห์ หรือได้รับคำแนะนำก่อน จนทำให้เกิดพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน ก้าวร้าว เพราะสังคมเทคโนโลยีมันมีแค่ความรู้”ดร.นิวัตร กล่าวพร้อมกับย้ำว่า ถ้ามีแต่ความรู้ก็จะไม่มีทางถึงปัญญาได้ ดังนั้นจะต้องสร้างให้เด็กคิด วิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ สามารถและตามแก้ปัญหาได้ด้วยการคิดวิเคราะห์  ซึ่งต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรผู้ปกครองและโรงเรียนจึงจะทำให้เด็กมีทั้งความรู้และปัญญาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ดร.นิวัตร กล่าวอีกว่า สำหรับคำว่า “สุข” ตนยืนยันว่า ความสุขจะเกิดขึ้นได้เฉพาะคนดีเท่านั้น คนชั่วไม่มีทางมีความสุขได้ และสิ่งที่จะทำให้เกิดความสุขได้ คือ จิตใจและอารมณ์ที่เบิกบานและแจ่มใสเท่านั้น คนที่ไม่มีจิตใจและอารมณ์เบิกบานแจ่มใสไม่มีทางเป็นคนดีได้ ซึ่งอารมณ์ที่เบิกบานและแจ่มใสนี้ไม่มีทางที่โรงเรียนจะสร้างได้โดยลำพัง ตนย้ำเสมอว่าจิตใจเบิกบานแจ่มใสมาจากครอบครัวที่เข้มแข็ง ถ้าไม่ช่วยกันเราจะเห็นแต่เด็กที่มีพฤติกรรม เบี่ยงเบน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น เพราะฉะนั้นเราจะต้องร่วมกัน สร้าง เสริม สุขเพื่อเด็กไทยและครอบครัวให้ได้

ทั้งนี้ในวงเสวนากิจกรรมธรรมะ “สติรู้ตัว ปัญญารู้คิด แก้วิกฤติครอบครัวไทย”ซึ่งมีพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ น.ส.จินตนา ศรีสารคาม ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เลขาธิการสภาผู้ปกครองฯ น.ส.อรพิมพ์ รักษาผล นายเก่ง ธชย ร่วมวงเสวนา โดย น.ส.จินตนา กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สติต้องมาที่หนึ่งถ้าเราไม่นิ่ง ปัญญาจะไม่เกิด ปัญญาที่เกิดจากสติเป็นปัญญาแห่งความเมตตา ที่แก้ไขปัญหามาถึงวันนี้ได้ก็เพราะเรามีความเมตตา มีความเป็นครู  ความรักความเมตตากับศิษย์ ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเราอยู่บนพื้นฐานของความเกลียดชังสิ่งที่เด็กคนนึงทำไม่เหมือนเด็กคนอื่น จะทำให้เราหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์กับเด็กคนอื่น จะไปโฟกัสกับเด็กคนเดียวแล้วทำให้เด็ก 4,000 กว่าคนไม่ได้รับการแก้ปัญหาไม่ได้

“ตอนนี้ กำลังใจของ ผอ.มาจากทุกช่องทาง ให้ ผอ.สู้ ๆ แต่เราก็ไม่ได้สู้เพื่อเอาชนะ ทุกวันนี้สิ่งที่เห็นในสื่อหลายอย่างไม่เป็นความจริง  เพราะฉะนั้นจะต้องใช้สติดูเยอะ ๆ แต่เราจะไม่บริหาร แก้ปัญหา ในสิ่งที่อยู่ในสังคมโซเชียล เราเป็นข้าราชการต้องมีหลักการ ทำงานหรือปฏิบัติภายใต้กฎระเบียบ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการ เป็นข้าราชการที่ดี เพราะถ้าไม่มีกฎระเบียบให้เราเดินตามได้เราจะเขว ถึงวันนึงเราจะไปไม่เป็น แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่เราไม่ได้เป็นข้าราชการเราจึงจะสามารถใช้ดุลพินิจตัดสิน แต่ตอนนี้เราจะต้องใช้ ระเบียบ กฎเกณฑ์ ถ้าใคร ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางราชการก็จะผิดกฎหมาย   แต่อย่างไรก็ตามภายใต้ระเบียบก็จะต้องมีความพอดี ต้องมาจากความรักมองบวกในเด็กมองลบในเด็ก และมองเด็กคนอื่นที่เหลือด้วย  ทำอย่างไรเด็กถึงจะมีสติมีปัญญา”ผอ.เตรียมพัฒน์ กล่าวและว่า และที่สำคัญคือครอบครัวสร้างเสริมสุขเป็นสิ่งที่สภาผู้ปกครองฯพยายามทำ บอกทุกคนว่าวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น  ซึ่งกฎระเบียบก็เป็นเรื่องสำคัญต้องแก้ไขปัญหาด้วยสติ

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments