เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้า ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า องค์การค้าฯ และสกสค. ได้เสนอแผนพัฒนาองค์การค้าฯ ซึ่งมีรายละเอียดหลายเรื่องที่เป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่น จะมีการตั้งคณะกรรมการการพิจารณาการจัดซื้อสื่อการเรียนการสอน ซึ่งมีกฎหมายกำหนดไว้ว่า บางอย่างให้จัดซื้อกับหน่วยงานของรัฐกันเองก่อน ตรงนี้ต้องไปดูรายละเอียด เช่น สื่อการเรียนด้านวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเครื่องหมายลูกเสือ ส่วนเรื่องการจัดการทรัพย์สินขององค์การค้าฯ นั้น ยังไม่ได้มีการพูดคุย แต่ทราบว่า จะมีการประมูลที่ดินย่านลาดพร้าว ขณะเดียวกันมีความคิดว่า จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน เข้ามาร่วมเปลี่ยนโฉมร้านศึกษาภัณฑ์พานิช แต่จะให้ร่วมในรูปแบบนั้นจะหารือกันอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นการร่วมทุน หรือให้ลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยได้มอบหมายให้สกสค.และองค์การค้าฯ ไปคิดร่วมกัน นอกจากนี้สกสค.ยังเสนอให้ สถานพยาบาลของสกสค.ซึ่งตั้งอยู่ในศธ. ขยายเวลาให้บริการเพิ่ม โดยอาจเปิดเป็นคลินิกนอกเวลา เพื่อให้บริการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตนก็เห็นด้วยเพราะเป็นแนวคิดที่ดี โดยได้มอบหมายให้ นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำศธ. ซึ่งเคยเป็นอดีตคณบดีแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย
นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการศธ. ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสกสค. กล่าวว่า ที่ประชุมได้ขอให้ทางองค์การค้าฯ ไปจัดทำแผนอัตรากำลัง เพราะองค์การค้าฯ มีพนักงานค่อนข้างมาก เพื่อวางแผนในเรื่องการถ่ายโอนค่าจ้าง เงินเดือน ซึ่งอาจต้องขอเสนอตั้งงบประมาณ มาช่วยในส่วนนี้ ส่วนลูกจ้างรายปี และลูกจ้างชั่วคราวประมาณ 300 คน ที่เพิ่งต่อสัญญาไปเมื่อเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมานั้น เป็นการจ้างปีต่อปี โดยนโยบายอาจต้องมีการสงวนอัตราไว้ ไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้ และไม่รับปากเรื่องต่อสัญญาจ้าง เพราะบางแผนกไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงาน และเท่าที่ดูโครงสร้างกลายเป็นว่า จ้างเจ้าหน้าที่ มาบริการเจ้าหน้าที่ เฉพาะพนักงานดูแลฝ่ายการตลาด มีมากถึง 500 กว่าคน ทั้งที่องค์การค้าฯ ไม่ได้จ้างบุคลากรเพิ่มมาประมาณ 8-9 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีจำนวนมากอยู่ เพราะฉะนั้นองค์การค้าฯ จะต้องไปทำกรอบอัตรากำลังให้ชัดเจน เพื่อให้สถาบันการเงิน และสกสค. ที่จะเข้าไปช่วยมีความมั่นใจว่า ช่วยแล้วองค์การค้าฯ จะอยู่รอด
“ตอนนี้ยังไม่มีแรงกระเพื่อมอะไรกับพนักงานองค์การค้าฯ เพราะเรายังไม่ได้ปลด ส่วนเรื่องต่อสัญญาหรือไม่ ยังไม่ถึงเวลาคุย แต่วันนี้ต่อให้แล้ว 1 ปี ใกล้ครบกำหนดค่อยมาว่ากันอีกที ในส่วนของการจัดซื้อสื่อและอุปกรณ์ การเรียนสอน รมว.ศึกษาธิการ ได้ขอให้หน่วยงานในสังกัดศธ. วางแผนและกำหนดความจำเป็นในการใช้สื่อการเรียนการสอน ซึ่งต่อไปจะมีการวางแผนเป็นภาพรวม เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์จากองค์การค้าฯก่อน ส่วนการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เพื่อนำไปใช้หนี้ขององค์การค้าฯ นั้น เบื้องต้นเปิดให้ประมูลที่ดินย่านลาดพร้าวก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเปิดโอกาสให้พิจารณาแปลงสินทรัพย์ หรือที่ดินขององค์การค้าฯ เป็นทุนได้ทุกแปลง” นายอรรถพลกล่าว
นายวีระกุล อรัณยะนาค ผู้ตรวจราชการศธ. ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการองค์การค้าฯ กล่าวว่า เชื่อว่า ปีต่อไปผลประกอบการขององค์การค้าฯ น่าจะดีขึ้น ส่วนตัวอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า การขอความร่วมมือให้หน่วยงานราชการซื้ออุปกรณ์การเรียน และจ้างพิมพ์หนังสือเรียนกับองค์การค้าฯ ไม่ใช่ว่า องค์การค้าฯ มาของาน แต่เป็นสิทธิตามกฎหมาย ซึ่งกำหนดว่า ถ้าจะจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน การสอน ขอให้จัดซื้อกับองค์การค้าฯ ก่อน ในกรณีที่องค์การค้าฯ ผลิต และสามารถจัดซื้อแบบเฉพาะเจาะจงกับองค์การค้าฯ ได้ ตรงนี้จะทำให้องค์การค้าฯ สามารถมีตลาดที่ชัดเจน มีรายได้เพิ่มขึ้น และไม่มีการปลดพนักงานออกแน่นอน และถ้าปีหน้ากิจการดี อาจจะมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่วนการปรับโฉมร้านศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ที่ประชุมเสนอให้มีวิธีการใหม่ๆ เปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม อาจส่งผลให้การทำงานมีความรวดเร็ว และทันสมัยมากขึ้น แต่ยืนยันว่า ไม่ได้ยุบ องค์การค้าฯ ยังทำร้านศึกษาภัณฑ์เช่นเดิม เพียงแต่ขยายกิจการในลักษณะแฟรนไชส์
“ส่วนที่ดินเป็นทรัพย์สินที่องค์การค้าฯ ต้องไปดูเพื่อนำมาบริหารงาน เราจะดูทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อแปลงเป็นทุน มาใช้หนี้ อาจจะเป็นลักษณะการให้เช่าระยะยาว หรือขายยกแปลง แต่จะต้องได้รับการประเมินราคาจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพื่อมาเป็นฐานพิจารณาราคาก่อนปล่อยเช่า หรือขายที่ดิน โดยองค์การค้าฯ ตั้งใจจะนำเงินในส่วนนี้มาปลดหนี้ ส่วนหนี้เร่งด่วนค่าดาษและค่าจ้างพิมพ์ประมาณ 1,300 ล้านบาทนั้น คาดว่า ภายในเดือนพฤศจิกายนจะสามารถชำระได้หมด และคิดว่าจะมีเงินเพียงพอจากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ส่วนการประมูลที่ดินย่านลาดพร้าวนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด”นายวีระกุลกล่าว และว่า ทั้งนี้การประมูลที่ดินของ องค์การค้าฯ จะพิจารณาด้วยว่า บริษัทที่มาขอเช่าจะประกอบธุรกิจประเภทใด รวมถึงราคาประมูลจะต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมิน ซึ่งที่ดินย่านลาดพร้าว ประเมินราคาเช่าระยะเวลา 30 ปีอยู่ที่ 365 ล้านบาท ดังนั้นราคาประมูลจะต้องไม่ต่ำไปกว่านี้ หากไม่ได้ตามที่กำหนด หรือไม่มีผู้เข้าประมูล ก็ต้องประกาศประมูลใหม่