เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ดร.อรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เข้าพบ ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือถึงสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มจะกลายเป็นวิกฤติหนักของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับภาคการศึกษาเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ รวมถึงข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยในเรื่องนี้ ต้องการให้ทุกภาคส่วนวางแผนแก้ปัญหาวิกฤตดังกล่าวอย่างยั่งยืน
ปลัด ศธ.กล่าวว่า ในอีก 11 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุของไทยจะสูงขึ้นเป็น 28% ถือเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด ส่วนด้านผลิตภาพแรงงานของไทยอยู่ในอันดับที่ 40 จาก 64 ประเทศ มีแรงงานนอกระบบมากถึง52% ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ไม่มีสวัสดิการ ในระยะยาวจะกระทบต่อรัฐในการจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณด้านสุขภาพ ขณะที่กลุ่มผู้ว่างงานและอยู่นอกระบบการศึกษา (Non Education Employer Development : NEED) มีมากถึง 1.3 ล้านคน หากปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามภาวะปกติ ในทศวรรษหน้าประเทศไทยจะเผชิญปัญหาหนัก แต่ตอนนี้เรามีช่องว่างที่สามารถเข้าไปพัฒนาได้ คือ การเตรียมพัฒนากำลังคนให้ทำงานได้เต็มตามศักยภาพ ซึ่งต้องใช้เวลาและเตรียมการตั้งแต่วัยเด็ก นายกฯจึงได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเตรียมพัฒนากำลังคนอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประเทศก้าวผ่านวิกฤตินี้
ดร.อรรถพล กล่าวต่อไปว่า ศธ.เตรียมแนวทางดำเนินการรองรับไว้แล้ว เช่น ความร่วมมือกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยกระดับแผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นแผนระดับ 2 เพื่อให้ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ, วางแผนพัฒนาระบบ Up-Skills Re-Skills ให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้ความร่วมมือและช่วยเหลือจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมองแต่ละช่วงวัย, กระทรวงแรงงานและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูแลความต้องการของตลาดงาน, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ เป็นต้น นอกจากนี้ศธ.ยังได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนระยะสั้น ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าของปี 2566 ด้วยแนวคิด “สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างคุณค่า” เพื่อสร้างความสุขให้กับกลุ่มผู้สูงอายุทุกกลุ่ม คือ ครูเกษียณอายุราชการ กลุ่มแรงงานไม่มีสวัสดิการ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพ กลุ่มที่ต้องการอาชีพเสริม กลุ่ม NEED ด้วย 5 กลไกการขับเคลื่อนที่สำคัญ คือ
1. ความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยมีโอกาสทางวิชาชีพหลังเกษียณ
2. ส่งเสริมการสร้างอาสมัคร กระทรวงศึกษาธิการ (อส.ศธ.) ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
3. การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพในระดับสูง เข้ามาเป็นวิทยากรฝึกอบรมวิชาชีพ ในศูนย์ฝึกอบรมฝีมือแรงงาน ของกระทรวงแรงงาน
4. การส่งเสริมการสร้างรายได้จากวิชาชีพชุมชน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
5. การยกระดับห้องสมุดชุมชน ให้เป็นมากกว่าห้องสมุด โดยปรับโฉมให้เป็นแหล่งค้นคว้าที่ทันสมัยแหล่งเรียนรู้วิชาชีพ และเรียนรู้สำหรับผู้ไม่รู้หนังสือ
“สำหรับแนวทางระยะสั้นในการขับเคลื่อนที่สำคัญ คือ จะเปิดรับสมัคร อส.ศธ. ผ่านระบบออนไลน์ วางเป้าหมายมีผู้สมัครกว่า 30,000 คน โดย อส.ศธ.ซึ่งกระจายทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะเป็นบุคลากรสำคัญในการดำเนินการร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าไปช่วยพัฒนากำลังคนทุกกลุ่มวัยในระดับพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อเตรียมคนในอนาคต รวมทั้งกลุ่มผู้สูงวัยด้วย เช่น เป็นครูอาสาสมัครจิตอาสา เพื่อเข้ามาช่วยงานการศึกษา มุ่งเน้นการอ่านออกเขียนได้ของเด็กในชุมชน พร้อมเก็บเป็นฐานข้อมูลการเข้าสู่ระบบการศึกษาออกกลางคัน หรือมีภาวะความรู้ถดถอยในด้านไหน อส.ศธ. จะเข้าไปช่วยเติมเต็มสิ่งเหล่านั้น“ปลัดศธ.กล่าวและว่า ผู้สนใจเป็น “ อส.ศธ.” นอกจากจะเป็นผู้เกษียณอายุ และมีจิตอาสาแล้ว ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่าง ๆ โดย ศธ.จะพิจารณาใช้งบประมาณที่มีอยู่ ไม่ขอเพิ่มจากภาครัฐรวมถึงดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุน เพื่อให้คนกลุ่มนี้มีค่าตอบแทน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในการลงพื้นที่เข้าไปทำงาน เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพกำลังคนและผู้สูงวัย ให้ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ ร่วมพาประเทศไทยผ่านวิกฤติไปได้ด้วยดี