เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ดร.อรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตัวเลขผู้สูงอายุในประเทศไทยมีเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะปี 2565 มีสูงกว่า ร้อยละ 12 ของจำนวนประชากร ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุด และจากการคาดการณ์คาดว่าใน 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยละ 28 ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการมาออกแบบว่า จะจัดการศึกษาให้กับกลุ่มผู้สูงอายุได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุเป็นภาระสังคม มีงานทำ มีเงินใช้ ไม่ยากจน เป็นคนแก่อย่างมีคุณภาพ
ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า การขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ ที่ต่อจากนี้การจัดการศึกษาของไทยจะไม่ใช่แค่คนวัยเรียนเท่านั้น ยังต้องรวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมให้เป็นคนที่มีอาชีพ แก่แต่ไม่จน เป็นคนแก่อย่างมีคุณค่า อย่างประเทศญี่ปุ่นที่มีการอบรมผู้สูงอายุ เพื่อให้มีงานทำ ไม่เป็นภาระงบประมาณ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชายขอบ คือ กลุ่มคนที่อ่าน เขียนไม่ได้ แรงงานที่ไม่มีสวัสดิการ และ กลุ่ม NEED หรือ คนรุ่นใหม่ วัยเรียนอายุ 14-24 ปี แต่ไม่เรียนและไม่ทำงานอีกกว่า 1.3 ล้านคน ซึ่ง ศธ.จะต้องไปดูว่าจะดูแลทั้ง 3 กลุ่มนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นภาระของสังคมและไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ
“จากภารกิจดังกล่าว ศธ.จึงได้เปิดรับสมัครอาสาสมัครกระทรวงศึกษาธิการ หรือ อส.ศธ. ทำภารกิจเหล่านั้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรับสมัครครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เกษียณอายุราชการ เข้าร่วมเป็น อส.ศธ. ซึ่งมีผู้สมัครแล้วกว่า 28,000 คน โดย ศธ.มีเป้าหมายจะรับ อส.ศธ.ทั่วประเทศกว่า 100,000 คน และจะมีการอบรมให้ความรู้ในการลงปฏิบัติภารกิจกับทั้ง 3 กลุ่มดังกล่า ทั้งนี้คาดว่า อส.ศธ. จะเริ่มปฏิบัติงานได้ภายในเดือนมีนาคม 2566 นี้ อย่างไรก็ตามการดำเนินการคงไม่สามารถทำได้โดย ศธ.เพียงหน่วยงานเดียว จะต้องร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ อส.ศธ.ก็เป็นการปฏิบัติงานในรูปของจิตอาสา ไม่มีเงินเดือน ดังนั้น ศธ.จะพยายามขอให้รัฐบาลช่วยเรื่องสวัสดิการดูแลด้านสาธารณสุขให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจ” ดร.อรรถพล กล่าว