เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2565 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวตอนหนึ่งในการ เป็นประธาน เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทำแผนยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาไทยในเวทีโลก โดยมี นางศิริพร ศริพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านวิจัยและประเมินผลการศึกษา นางอำภา พรหมวาทย์ ผู้อำนวยการสำนักประเมินผลการจัดการศึกษา และผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ รองศาสตราจารย์ ดร.ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณพรกนก วิภูษณวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมแลกเปลี่ยน ณ ห้องประชุมดิสทริค เอ็ม บอลรูม โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา บางกอก พระนคร กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ดร.สุเทพ กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาสภาวการณ์การศึกษาทั่วโลก ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยทางการเรียนนรู้ (Learning Loss) สัมพันธ์กับความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาที่มีอันดับลดลง จึงทำให้เกิดการวิเคราะห์สภาวการณ์การศึกษาของไทยทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อคาดการแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดทำรายงานสภาวการณ์ทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ทั้งในระดับนานาชาติ ระดับชาติ และระดับพื้นที่
สอดคล้องตัวชี้วัดการขับเคลื่อนการศึกษาของไทย ประจำปีงบประมาณ 2566 ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้กำหนดตัวชี้วัดสำคัญให้มีการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยจัดทำแผนยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาไทยในเวทีโลก เน้นการพัฒนาผลการประเมินใน 3 ดัชนีหลัก คือ 1) ผลการทดสอบ PISA 2) ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือสถาบัน IMD สวิตเซอร์แลนด์ และ 3) ผลการจัดอันดับโดย World Economic Forum (WEF) ทั้งนี้ สกศ. เตรียมขับเคลื่อนการสร้างแผนการศึกษาระดับจังหวัด เพื่อให้การจัดการศึกษาเชิงพื้นที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้เหมาะสมกับบริบทที่แตกต่างกัน
. ร.ศ.ดร.ธีระเดช กล่าวว่า ในปี 2018 ผลการจัดอันดับสะท้อนสมรรถนะของผู้เรียนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น แต่ผลการประเมินด้านการอ่านมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และในปี 2022 ได้มีการประเมินวัดความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยผลการจัดอันดับจะทราบในเดือนธันวาคม ในปี 2023 ซึ่งผลการจัดอันดับจะช่วยให้หน่วยงานด้านการศึกษาวิเคราะห์สมรรถนะผู้เรียนทั้งประเทศ เพื่อปรับการเรียนการสอนเน้นเติมจุดอ่อน เสริมจุดแข็งให้สมรรถนะด้านการศึกษาของไทยดีขึ้น
คุณพรกนก วิภูษณวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวเสริมเรื่องผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ของสถาบัน IMD ว่ามีการวัดผลจาก 4 ตัวชี้วัด คือ 1) เศรษฐกิจ (Economic Performance 2) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) 3) ประสิทธิภาพของภาคเอกชน (Business Efficiency) และ 4) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ซึ่งการศึกษาอยู่ในตัวชี้วัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน และในปี 2565 ด้านการศึกษาของประเทศไทย ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 53 จากเดิมอยู่ที่อันดับ 56 ในปี 2564 และเป็นอันดับดีที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการขยับอันดับให้สูงขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาการศึกษา
นอกจากนี้ ที่ประชุมแบ่งกลุ่ม Workshop เสนอข้อคิดเห็นตัวชี้วัด 2 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Academic Indicators) และ 2) การผลิตและพัฒนากำลังคนและแรงงาน (Workforce Indicators) โดย สกศ. จะรวบรวมเป็นแนวทางการจัดทำแผนการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันด้านการศึกษาของไทย และใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนและกำหนดนโยบายการศึกษาของประเทศต่อไป