เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในการแถลงข่าวเตรียมความพร้อมสถานศึกษาในสังกัดและในกำกับกระทรวงศึกษาธิการทั่วประเทศ ว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มคลี่คลายลง และ สธ.ได้ประกาศยกเลิกโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มีมติยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ให้กลับไปใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จึงได้ยกเลิกประกาศ จำนวน 3 ฉบับ เพื่อให้สอดรับกัน ได้แก่ ประกาศ ศธ. เรื่อง มาตรการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของ ศธ. ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และประกาศ ศธ. เรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 ลงวันที่ 3 มกราคม 2565 รวมทั้งยกเลิกประกาศ ศธ. เรื่อง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 และยังคงให้หน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัด ศธ. ทุกแห่ง ปฏิบัติตามแนวทางของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและ สธ.กำหนดต่อไป
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีแนวโน้มคลี่คลายลง แต่สถานศึกษาเป็นสถานที่ ที่มีการรวมกลุ่มและทำกิจกรรม จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนนั้น ศธ. ยึดหลักความปลอดภัยของนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา เป็นสำคัญ เพื่อให้นักเรียน ครู และผู้ปกครอง มีความอุ่นใจในการส่งบุตรหลานเข้ามาเรียน ศธ.จึงต้องปรับแนวปฏิบัติให้สอดรับกับประกาศของ สธ. เช่น แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยกรณีเข้าไปในสถานที่ที่แออัดหรือเป็นพื้นที่ปิด จัดสภาวะแวดล้อมของสถานศึกษาให้ถูกสุขลักษณะ และหากมีการติดเชื้อในสถานศึกษาให้จัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสมโดยไม่ปิดเรียน ทั้งนี้ ศธ.จะเน้นการพัฒนาระบบและทักษะให้นักเรียนและครูสามารถดูแลตนเองได้ โดยใช้โครงการ 1 โรงเรียน 1 ครูอนามัย สร้างเด็กไทยรอบรู้สุขภาพ ซึ่งจะเน้นทักษะในการคัดกรองดูแลสุขภาพเบื้องต้นตนเองได้ เช่น ความเสี่ยงการติดโรคระบาด การกู้ชีวิตขั้นพื้นฐานได้ (Basic Life Support) รวมถึงด้านสุขภาพจิตใจ มีระบบการคัดกรอง เฝ้าระวัง การส่งต่อ ด้านความเครียดหรือซึมเศร้าต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือและลดความรุนแรง” น.ส.ตรีนุช กล่าว
ด้าน นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า หลังจากที่ สธ.ได้ประกาศยกเลิกโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนั้น ซึ่ง สธ.ได้จัดระบบเฝ้าระวังโควิด-19 ไว้ 4 ส่วน ดังนี้ 1.การเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 2.การเฝ้าระวังในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยง เช่น สถานศึกษา เป็นต้น 3.การเฝ้าระวังการระบาดในลักษณะกลุ่มก้อน หรือ คลัสเตอร์ หากมีการแพร่ระบาดจำนวนมาก ต้องมีระบบในการควบคุมและสอบสวนโรค และ 4.การเฝ้าระวังเรื่องการกลายพันธ์ของเชื้อโควิด-19
นพ.สราวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในปัจจุบัน พบว่าอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต เฉลี่ยมีผู้เสียชีวิต 5-10 รายต่อวัน โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ มาจากผู้ติดเชื้อมีโรคประจำตัว หรือไม่ได้รับวัคซีน เป็นต้น และเมื่อดูจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน จะพบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 อายุ 0-18 ปี มีอัตราลงลดอย่างชัดเจน ส่วนอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มอายุ 0-18 ปี ก็ต่ำมาก บางเดือนแทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย ส่วนอัตราการรับวัคซีนโควิด-19 ของนักเรียนนั้น จากข้อมูลวันที่ 3 ตุลาคม พบว่า กลุ่มอายุ 12-17 ปี ทั้งหมด 5,333,639 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 4,723,369 คน คิดเป็น 88.56% วัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 4,386,081 คน คิดเป็น 82.23% วัคซีนเข็ม 3 จำนวน 1,140,580 คน ส่วนอายุ 5-11 ปี ทั้งหมด 5,002,698 คน ได้รับวัคซีนเช็ม 1 จำนวน 3,328,184 คน คิดเป็น 64.6% เข็มที่ 2 จำนวน 2,493,003 คน คิดเป็น 48.4% และเข็ม 3 จำนวน 56,807 คิดเป็น 1.1% ซึ่ง สธ.มองว่ายังมีความจำเป็นที่นักเรียนต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอยู่
“สำหรับคำแนะนำการป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โควิด-19 สำหรับสถานศึกษานั้น แยกเป็น 3 ส่วน คือ 1.สถานศึกษา ให้ประกาศนโยบายมิติสุขภาพและคำแนะนำการป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง พร้อมกับให้จัดสภาวะแวดล้อมของสถานศึกษา ให้สะอาด ปลอดภัย มีสุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาล และจัดห้องเรียนมีระบบการระบายอากาศที่ดี และมีการประเมินความเสี่ยงตามความเหมาะสมหรือตามคำแนะนำของ สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด และส่งเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ ครู บุคลากร นักเรียนและผู้ปกครอง 2.นักเรียนและบุคลากร ต้องปฏิบัติตามสุขอนามัยส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานเป็นกิจวัตร คือ ล้างมือ สวมหน้ากากในที่เข้าไปในสถานที่ ที่มีคนแออัด ในพื้นที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือมีความเสี่ยง ประเมินความเสี่ยงของตนเองด้วย Thai Save Thai ถ้าเสี่ยงสูง แนะนำตรวจ ATK หรือปรึกษาหน่วยบริหารด้านสาธารณสุขในพื้นที่ และรับวัคซีน และ 3.การเฝ้าระวัง ให้สถานศึกษาตรวจคัดกรองสุขภาพนักเรียนตามมาตรฐานงานอนามัยโรงเรียน พร้อมกับเฝ้าระวังและสังเกตการอาการป่วย ถ้ามีการป่วยเป็นกลุ่มก้อน ให้ประสาน ปรึกษา และส่งต่อสถานพยาบาล และกำกับติดตามและรายงานตามมาตรฐาน ผ่านออนไลน์อนามัยโรงเรียน” นพ.สราวุฒิ กล่าวและว่า สำหรับแนวปฏิบัติสำหรับสถานศึกษากรณีติดเชื้อโควิด-19 กรณีที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย นักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา ปฏิบัติ ดังนี้ จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม โดยไม่ปิดเรียน ปฏิบัติตามหลักการ Universal Prevention เน้นมาตรการ 6-6-7 เข้มการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดทำกิจกรรมรวมกลุ่ม จัดพื้นที่ให้มีระบบระบายอากาศที่ดี และทำความห้องเรียนชั้นเรียน กรณีที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการปานกลางหรือรุนแรง ให้สถานศึกษาปฏิบัติตามแนวทางการดูแลรักษาของ สธ. และติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่
ดร.อรรถพล สังขวาสี รักษาราชการแทนปลัด ศธ. กล่าวว่า สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.ศธ.) ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มีนักเรียนในสังกัดกว่า 500,000 คนนั้น จะนำข้อแนะนำ และองค์ความรู้เรื่องโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังทั้งหมด มีสร้างความรู้ ความเข้าใจให้นักเรียน ครู และบุคคลกรทางการศึกษา เพื่อให้บุคคลเหล่านี้นำองค์ความรู้ที่ได้กระจายให้ผู้ปกครอง และทำการเฝ้าระวังตนเองต่อไป มองว่า ศธ.จะต้องมีระบบการติดตามข้อมูลตัวเลขผู้ติดเชื้อจากทุกหน่วยงานหลัก เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ. สามารถนำข้อมูลนี้ไปกำหนดนโยบายเกี่ยวกับโควิด-19 ได้ และสป.ศธ. จะเร่งจัดทำ ประกาศ ศธ. ถึงแนวปฏิบัติในการป้องกันโรคติดต่อเฝ้าระวัง เพื่อให้สถานศึกษานำแนวทางนี้ไปดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อไป
ด้าน ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ตนจะสื่อสารไปยังโรงเรียนในสังกัดว่า แม้โควิด-19 ปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว แต่เรายังต้องเน้นป้องกันการแพร่ระบาดอยู่ เพราะโรคนี้ยังไม่ได้หายไป โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะนำแนวปฏิบัติที่ สธ.ให้ไว้ ลงสู่การปฏิบัติ โดยเข้าไปให้ความรู้เรื่องการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 ให้กับนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ส่วนสถานศึกษา ต้องออกแบบและวางมาตรการป้องกัน อะไรที่เป็นมาตรการเข้มงวดอยู่แล้ว และสร้างความปลอดภัยให้นักเรียน ก็ขอให้คงไว้เหมือนเดิม เช่น การเว้นระยะห่างในห้องเรียน จัดให้โรงอาหารเป็นพื้นที่โปร่ง โล่ง เป็นต้น และส่วนมาตรการไหนที่ผ่อนปรนได้ ก็ขอให้ผ่อนปรนเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ขอให้สถานศึกษาทำงานร่วมกับผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองสังเกตว่า เด็กมีความเสี่ยง ต้องเข้าสู่ระบบคัดกรองทันที พร้อมกับปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบอื่นให้นักเรียนยังคงได้เรียนหนังสือตลอด และต้องมีแผนเผชิญเหตุหากพบนักเรียนติดเชื้อ
ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะเร่งสร้างความเข้าใจกับสถานศึกษาในสังกัด พร้อมกับเน้นย้ำเรื่องการทำความสะอาดห้องพักนักศึกษาที่อยู่ในโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ และทำความสะอาดห้องปฏิบัติการด้วย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ สถานศึกษาต้องจัดทำแผนเผชิญเหตุเพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วย และตนจะต้องดำเนินการตามนโยนบายของ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. คือ เร่งจัดให้มี 1 วิทยาลัย 1 ครูอนามัย ประจำวิทยาลัยทุกแห่ง เพื่อให้มีครูที่มีความรู้เข้ามาดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งตนเชื่อว่า สอศ.พร้อมที่จะขับเคลื่อนจัดการศึกษาท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างดี
นายวัลลพ สงวนนาม เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า จะเร่งประสานขอความร่วมมือกับชุมชน ผู้ประกอบการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อเตรียมความพร้อมสถานที่สำหรับการจัดกิจกรรมเรียนรู้ของผู้เรียน กศน.ให้มีความสะอาด มีความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 มากที่สุด นอกจากนี้ กศน.จะนำข้อแนะนำของสธ. ไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เรียน ครู และบุคลากรของ กศน.ต่อไป