เมื่อวันที่ 29 ต.ค.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่าวันนี้ตนได้เสนอให้ครม.เห็นชอบให้ นายอนุชา บูรพชัยศรี มาเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แทนนายไกรเสริม โตทับเที่ยง ที่ลาออก ทั้งนี้นายอนุชา มีความรู้ความสามารถด้านการบริหารและมีประสบการณ์ในการทำงานเป็นอย่างดี ซึ่งการทำงานก็จะไม่แตกต่างจากนายไกรเสริม ซึ่งตนเชื่อว่าจะมาช่วยทำงานได้เป็นอย่างดี ส่วนการแต่งตั้งผู้บริหารระดับ10 ที่ว่างนั้น ได้หารือกับปลัดศธ.แล้ว คาดว่าจะเสนอรายชื่อดังกล่าวได้ในสัปดาห์หน้า
สำหรับประวัติของนายอนุชา บูรพชัยศรี เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักธุรกิจที่ก้าวสู่วงการการเมืองในปี พ.ศ. 2550 หลังจากทำงานภาคเอกชนมากว่า 20ปีในด้านธุรกิจเครื่องจักรกลหนักที่ใช้ในงานก่อสร้าง ปัจจุบันนายอนุชาดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบาย และเคยเป็นอดีตรองโฆษกด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 เมื่อครั้งเขตเลือกตั้งยังเป็นแบบเขตใหญ่ (แบบทีม3คน) ร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช และนายสมเกียรติ ฉันทวานิช และได้รับการเลือกตั้งเข้าสภาฯยกทีมทั้งสามคน
ในปี พ.ศ. 2553 หลังจากที่นายสมเกียรติ ฉันทวานิชได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งในคดีถือครองหุ้นบริษัทสัมปทานรัฐ นายอภิรักษ์ โกษะโยธินได้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเวลาต่อมา และอนุชาได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนั้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 นายอนุชาลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งที่สอง หลังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเขตเลือกตั้งมีการปรับเปลี่ยนเป็นแบบเขตเล็ก (แบบเขตเดียวคนเดียว) และอนุชาได้รับการเลือกตั้งเข้าสภาฯเป็นสมัยที่สองและได้ใช้ความรู้ และประสบการณ์จากภาคเอกชนในการเสนอ และผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม โลจิสติกส์ และด้านอุตสาหกรรม ทั้งในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และในช่วงที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และมีบทบาทสำคัญในการพิจารณากฎหมายสำคัญๆ อาทิเช่น ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของประเทศฯ (กฎหมาย 2ล้านล้านบาท) การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ และการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศฯ เป็นต้น