เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดพิธีลงนาม MOU ในโครงการครูรักษ์ถิ่น 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(อว.) กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา (คส.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาค (กสศ.) เพื่อสนับสนุนทุนสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนยากจนด้อยโอกาสจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่สุดร้อยละ 20 แรกของประเทศในพื้นที่ห่างไกลที่อยากเป็นครูได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีและกลับมาเป็นครูในท้องถิ่นตนเอง เมื่อศึกษาจนจบตามหลักสูตร จะได้รับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนตามโครงการดังกล่าว

นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ.กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ของคณะวิจัยธนาคารโลก ร่วมกับการสอบทานฐานข้อมูล สพฐ. พบว่าประเทศไทยมีโรงเรียนราว 2,000 แห่ง ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่อาจจะควบรวมได้ เช่น โรงเรียนบนพื้นที่สูง ตามแนวตะเข็บชายขอบ หรือตั้งอยู่บนเกาะแก่ง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ (Protected School หรือ Standalone)ดังนั้น  เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนในท้องถิ่น ขณะที่ยังพบปัญหาของโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลคือ ครูขอย้ายบ่อยเพราะไม่ใช่คนท้องถิ่น และไม่มีครูมาทดแทน ครูจึงไม่พอกับชั้นเรียน โดยเฉพาะครูที่สอนระดับประถมศึกษา หากเพิ่มโอกาสให้นักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกลมีผลการเรียนดี มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริงมีโอกาสได้เรียนครูจนจบและกลับไปทำงานในท้องถิ่นบ้านเกิดของตนเองได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา แก้ปัญหาครูไม่ครบชั้น และครูประจำการโยกย้ายบ่อยในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลได้ ตลอดจนจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย

“โครงการครูรักษ์ถิ่น เป็นโครงการที่มีความต่อเนื่องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางการปฏิบัติงานรวมระยะเวลาพัฒนาสำหรับบัณฑิตครูแต่ละคนราว 10 ปี โดยมีเป้าประสงค์หลักในการสร้างโอกาสให้นักเรียนยากจนด้อยโอกาสที่มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีและมีจิตวิญญาณความเป็นครู ได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีอย่างมีคุณภาพ มีทักษะความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และได้รับการบรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล การลงนามข้อตกลงในครั้งนี้จึงเป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนทุนสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนยากจนด้อยโอกาสจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่สุดร้อยละ 20 แรกของประเทศในพื้นที่ห่างไกลที่อยากเป็นครูได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีและกลับมาเป็นครูในโรงเรียนท้องถิ่นของตัวเอง” นพ.สุภกร  กล่าว

นายสุทิน แก้วพนา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในส่วนของสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการศึกษาในส่วนภูมิภาค ซึ่งเรามีศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการภาคในพื้นที่ การเพิ่มโอกาสให้กับนักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล ให้ได้รับโอกาสโดยเฉพาะการมีอาชีพมีการศึกษา มีงานทำ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะโครงการครูรักษ์ถิ่น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งการคัดเลือกเด็กในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารและขาดโอกาสแต่มีอุดมการณ์ที่จะเป็นครูมาทำหน้าที่ครู ซึ่งเป็นกระบวนการผลิต คัดเลือกที่มีคุณภาพ รวมถึงการเสริมสร้างจิตวิญญาณของความเป็นครู กลุ่มนี้จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาสำหรับพื้นที่ห่างไกลกันดารที่ขาดครู รวมถึงการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทั้งนี้ สป.จะสนับสนุนส่งเสริมการคัดเลือกเด็ก ประสานงานกับกระทรวงอุดมศึกษาฯ ในการผลิตและพัฒนาครูให้มีคุณภาพ รวมถึงการคัดเลือกสถานศึกษากลุ่มเป้าหมายในการบรรจุและแต่งตั้งครู สรรหาครูตามโครงการ เพื่อให้สามารถบรรจุตามเป้าหมาย ตรงนี้จะเป็นการเชื่อมงานกับสพฐ.ในการขับเคลื่อนเสริมนโยบายกับ กสศ. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การบรรจุ และเชื่อมโยงกับสถาบันผลิตและพัฒนาครู จะเป็นการเชื่อมโยงบูรณาการต่อเนื่องอย่างยั่งยืน

นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)  กล่าวว่า สพฐ.เป็นหน่วยงานสำคัญที่กำกับดูแลโรงเรียนปลายทางซึ่งเป็นโรงเรียนในพื้นที่เป้าหมายในการบรรจุครูเพื่อไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้พบว่าโรงเรียน 2,000 แห่ง จาก 30,000 แห่ง ไม่สามารถยุบควบรวมได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องการขาดครู และย้ายออก ดังนั้นโครงการครูรักษ์ถิ่น ที่ร่วมทำกับ กสศ.จะทำให้ขาดครูลดน้อยลง และทำให้เด็กได้ศึกษาเล่าเรียนตามที่ควรจะเป็น โดยโรงเรียนเหล่านี้เป้าหมายอยู่ในพื้นที่สูง ชายขอบ บนเกาะ และโรงเรียนมักไม่มีครูท้องถิ่นสอนอยู่

“เมื่อมีโครงการนี้เชื่อว่าคนที่อยู่ในท้องถิ่นแล้วได้เป็นครูคงไม่ย้ายออก ปัจจุบันครูสอนในระดับประถมศึกษายังขาดแคลน ตอนนี้ขาดอยู่เกือบ 4,000 คน โดยผู้จบทางประถมศึกษามีประมาณ 8,000 พันคน จากผู้จบทั้งหมด 2.5 แสนคน ทั้งนี้จำนวนครูที่มีการโยกย้ายในปี 2562 มีครูในสังกัด สพฐ. เช่น จ.เชียงใหม่ มีการโยกย้าย 179 อัตรา, จ.เชียงราย โยกย้าย 80 อัตรา, จ.ชัยภูมิ 159 อัตรา, จ.กาญจนบุรี 102 อัตรา และ จ.สตูล 47 อัตรา หากโครงการนี้ช่วยให้ครูไปบรรจุในพื้นที่จะแก้ปัญหาการศึกษาที่ไม่ได้รับความเสมอภาคลดน้อยลงไป ในระยะ 4-5 ปี ปัญหาน่าจะทุเลาลงทำให้เด็กได้รับโอกาสและการจัดสรรที่เท่าเทียมกัน” นายสนิท กล่าว 

รองศาสตราจารย์ สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทาง อว.สนับสนุนโครงการครูรักษ์ถิ่น โดยมีเหตุผล 3 เรื่องคือ 1.การสร้างคนที่มีความพร้อมรองรับในศตวรรษที่ 21 อย่างโครงการครูรักษ์ถิ่น ถือเป็นโครงการผลิตคนให้เก่ง  2.นำนวัตกรรม องค์ความรู้ ไปพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการระดมสมองช่วยกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และให้โอกาสผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ถือเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ โครงการนี้จะไปสนับสนุนยุทธศาสตร์ของ อว. และ3.ครูคือหัวใจสำคัญของการศึกษา เพราะแม้แต่ในวงการสุขภาพแพทย์มีความสำคัญที่สุด ดังนั้นในวงการศึกษาครูถือว่ามีความสำคัญที่สุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่สนับสนุนครูผลิตครูที่เก่งขึ้นมาวงการศึกษาก็ไม่สามารถเดินต่อไปไม่ได้ จึงคิดว่าโครงการครูรักษ์ถิ่นมีความสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ ผลิตครูในท้องถิ่น

“อว.มีสถาบันผลิตครูอยู่หลายแห่งตอนนี้โครงการครูรักษ์ถิ่น ทาง อว. ทราบว่ามีกว่า 10 สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้ว หลังจากนี้จะชักชวนสถาบันการศึกษาผลิตครูเข้าร่วมโครงการต่อไปเรื่อยๆ แนวคิดโครงการครูรักษ์ถิ่นที่ทำมาเห็นว่าครบวงจรทั้งหมด ซึ่งจะเป็นแม่แบบในการพัฒนาส่วนอื่นๆต่อไป” รศ.สรนิต กล่าว

นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(กคศ.) กล่าวว่า โครงการครูรักษ์ถิ่น เป็นโครงการที่สำคัญตอบโจทย์สำคัญของประเทศ ถือเป็นการรวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดแนว ทั้งหน่วยที่ต้องเผชิญเหตุในพื้นที่ หน่วยงานที่ทำงานผลิตครูเข้ามา แล้วส่งมอบต่อยอดการบรรจุแต่งตั้ง สรรหา ในการให้บุคลากรเหล่านี้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ โครงการนี้ถือว่ามีความสำคัญ สมควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะทุกคนมีความฝัน ซึ่ง จะตอบโจทย์ให้ทุกคนที่มีความฝัน มีอุดมการณ์ความเป็นครู ซึ่งชีวิตของการเป็นครูไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ต้องมีความมุ่งมั่นในการทำงานยากลำบากในพื้นที่ห่างไกล อุดมการณ์นี้จะตอบโจทย์ให้ได้บุคคลเหล่านี้เข้ามาในโครงการนี้ ซึ่ง ถือเป็นสิ่งสำคัญมากและถือว่ามาตรงจุดแล้ว เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยปัญหาต่างๆของประเทศชาติจะได้แก้ไขปัญหาต่างๆที่มี เข้าใจว่าโครงการนี้ยังช่วยพัฒนาตัวบุคคลนั้นๆ ขณะเดียวกันยังพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศชาติด้วยเช่นกัน

ด้านนางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า โครงการครูรักษ์ถิ่นเป็นการให้โอกาสนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและได้รับโอกาสเป็นครู โดยทางคุรุสภามีหน้าที่สำคัญในการดูแลเรื่องมาตรฐานวิชาชีพครูและการผลิตครู เพื่อให้มีความมั่นใจว่าบุคลากรเหล่านี้มีคุณภาพอย่างแท้จริง คุรุสภาจะมีบทบาทสำคัญจะเข้าไปเชื่อมโยงกระบวนการผลิต พัฒนา คัดกรองวิชาชีพครู โดยมีตัวมาตรฐานวิชาชีพครูเป็นตัวกำกับดูแลเรื่องคุณภาพ คุรุสภาจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องรับรองเรื่องปริญญาการศึกษา ดูแลเรื่องหลักสูตรครู มาตรฐานการผลิตและบัณฑิตที่มีความรู้คุณภาพ และกระบวนการต่างๆ และเมื่อบัณฑิตที่จบออกมามีคุณภาพแล้วคุรุสภาจะต้องนำไปเข้ารับการทดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพื่อทำให้มั่นใจว่าครูทุกคน โดยเฉพาะครูในโครงการครูรักษ์ถิ่น ต้องมีประสิทธิภาพ มีสมรรถนะ มีจิตวิญญาณของการเป็นครู ในการเข้าไปเป็นครูในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จึงคิดว่าทั้ง 6 หน่วยที่เข้ามาร่วมมือกันผลักดันให้โครงการนี้ได้ครูที่มีคุณภาพ จะเป็นครูต้นแบบในการผลิตและพัฒนาครู และเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ครูที่มีคุณภาพในอนาคต

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments