เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ว่าที่ร้อยตรีธนุ  วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหาร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมหารือกรณีกลุ่มผู้แทนสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทยและกลุ่มลูกจ้าง 5 ตำแหน่ง คือ ธุรการ, ครูวิกฤต ,ครูวิทย์-คณิต ,พี่เลี้ยงเด็กพิการ ,นักการภารโรง ได้เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาลูกจ้าง สังกัด สพฐ. ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการจ้างเป็นจ้างเหมาบริการและตัดเงินสมทบประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ส่งผลให้ลูกจ้างกว่า 72,044 คน ทั่วประเทศ ได้รับผลกระทบถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับ อาทิ การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การรับเงินสงเคราะห์ เป็นต้น  ซึ่ง ปัจจุบัน สพฐ. ถือเป็นหน่วยงานที่มีลูกจ้างมากที่สุด เพราะมีโรงเรียนกว่า  3 หมื่นโรงเรียน   ใน 245 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ดังนั้นการจ้างแต่ละตำแหน่งจึงมีความแตกต่างกัน  ซึ่งกลุ่มนี้ได้มีข้อเรียกร้อง 2 เรื่อง คือ เปลี่ยนจากจ้างเหมาบริการ เป็นลูกจ้างชั่วคราว และ2.เรียกร้องให้ปรับเงินเดือน ผู้ที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และปริญญาตรี ให้เท่ากับข้าราชการ เนื่องจากมีลักษณะงานเหมือนกัน ทำงานที่เดียวกันแต่เงินเดือนยังมีความเหลื่อมล้ำ

“เรื่องนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ. และสพฐ. รับทราบถึงปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดี เพราะกลุ่มนี้เคยมายื่นหนังสือเรียกร้องครั้งหนึ่งแล้ว เราก็รับข้อเสนอมาดำเนินการ  ล่าสุดก็ได้ทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ขอเปลี่ยนจากจ้างเหมาบริการเป็น ลูกจ้างชั่วคราว เพื่อไม่ให้กระทบกับประกันสังคม หากกรมบัญชีกลางเห็นชอบ ก็จะทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ. )ขอกำหนดมาตรฐานตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ก็จะต้องขอตั้งงบประมาณ เพราะแต่ละตำแหน่งอัตราเงินเดือนไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นตอนนี้สพฐ. รู้ขั้นตอน ทั้งหมดแล้ว และกำลังดำเนินการทีละขั้นตอน สพฐ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องรอคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานให้เร็วขึ้น หากได้รับคำตอบจากกรมบัญชีกลาง ก็สามารถเดินหน้าตามขั้นตอนได้ทันที ถือว่าการทำงานของสพฐ.ตรงนี้จบแล้ว เพียงแต่รอคำตอบจากกรมบัญชีกลางตอบกลับมาเท่านั้น“ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว

เลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังหารือ การส่งเสริมการมีรายได้ของนักเรียนระหว่างปิดภาคเรียน ซึ่งในส่วนของ สพฐ. ขณะนี้มีนักเรียนสมัครแล้ว  340 คน มีค่าตอบแทนต่อคนไม่เกิน 6,000 บาท  นอกจากนี้ที่ประชุมยังเน้นย้ำ การนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ มาใช้ในการสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาการสอบตามโครงการประเมินนักเรียนระดับนานาชาติหรือพิซ่า ซึ่งจะจัดสอบในเดือนสิงหาคมให้สูงขึ้น โดยปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมเข้าร่วมใช้เอไอ มาช่วยฝึกพัฒนาผู้เรียนกว่า 700 แห่ง ประมาณ 1,400 คน

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments