เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมประสานภารกิจร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของศธ. ว่า ที่ประชุมได้รายงานผลการจัดทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ปีการศึกษา 2567 จัดโดย สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)ซึ่งประถมศึกษาปีที่ 6 มีผู้เข้าสอบทั้งหมด 692,696 คน มัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าสอบทั้งหมด 508,839 คน และ มัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าสอบทั้งหมด 218,180 คน ซึ่งในการทดสอบได้มีการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนชั้น ม.3 และ ม.6 ถึงเหตุผลที่เข้ารับการทดสอบ โอเน็ต พบว่า เพื่อวัดความรู้ความสามารถของตนเอง ร้อยละ 78.66 สอบตามที่สถานศึกษาแจ้ง ร้อยละ 43.71 และเพื่อใช้ผลการศึกษาต่อ ร้อยละ 38.50 นักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจด้านระบบดิจิทัลและอุปกรณ์ที่ใช้สอบ ด้านบริหารจัดการทดสอบ ในหัวข้อสถานที่สอบ ห้องสอบสะอาด วันและเวลาทดสอบที่มีความเหมาะสม และได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่ไม่เสถียรในบางพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้หารือในส่วนของการขับเคลื่อนติดตามเด็กออกนอกระบบการศึกษา โดยทุกหน่วยงานในสังกัดของ ศธ.สามารถนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบได้มากถึง 321,640 คน ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งตนได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามดูแลเด็กทุกคนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นแนวทางป้องกัน ติดตาม และส่งต่อ เพื่อไม่ให้เกิดการหลุดออกนอกระบบอีกครั้ง
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)ได้รายงานความคืบหน้าการติดตามเด็กกลับเข้าสู่ระบบของแต่ละจังหวัด ซึ่งในตอนนี้มี 29 จังหวัดที่ยังไม่สามารถติดตามเด็กได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงได้มอบหมายให้ ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดศธ. ไปดำเนินการขับเคลื่อน โดยมี 12 จังหวัดที่อยู่ในโครงการนำร่องของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ไม่สามารถติดตามเด็กได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์จึงต้องมีการหารือเพื่อตรวจสอบว่าปัจจัยไหนที่ทำให้ไม่สามารถติดตามได้ครบ
นอกจากนี้ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ยังได้กล่าวถึง การแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อสั่งการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการแก้ปัญหาดังกล่าวในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมอบหมายให้ศธ. เป็นเจ้าภาพหลักบูรณการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมได้แต่งตั้ง นายพิษณุ พลธี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการศธ. ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการศธ. ให้เป็นประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าของศธ. ทั้งนี้คณะทำงานชุดดังกล่าวที่ตั้งขึ้นจะกลับไปจัดทำแผนการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเริ่มตั้งแต่แผนการแก้ปัญหาระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น อีกทั้งจะมีการเชื่อมการทำงานไปยังหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกันโดยขณะนี้ ศธ.รอการปรับแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เนื่องจากมีช่องทางที่สามารถแก้ไขระเบียบข้อบังคับตามประกาศ เรื่อง การกำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557 ซึ่งสามารถมอบอำนาจแก่ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือครูฝ่ายปกครองที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการสถานศึกษา ให้สามารถทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้าตามข้อกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ ภายในขอบเขตของสถานศึกษาได้ โดยจะออกหนังสือราชการเพื่อกำชับไปยังครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงผู้บริหารในศธ.ทุกคนว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นของผิดกฎหมาย หากตรวจพบหรือมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้า จะไม่ปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอน และจะถือโทษความผิดทางวินัยแก่บุคคลเหล่านั้นด้วย เพราะครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือแม้กระทั่งผู้บริหารจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กนักเรียน ไม่ดูดบุหรี่ไฟฟ้าเอง