เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรโครงการพาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง (OBEC Zero Dropout) ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบการศึกษากลางคันได้ครบ 100% และเขตตรวจราชการดีเด่นด้านการบริหารจัดการ โดยมี นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.นิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. เข้าร่วม ณ ห้องถ่ายสด OBEC Channel อาคาร สพฐ. 1 ชั้น 1 กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต เข้าร่วมผ่านระบบการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ Zoom Meeting
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายขับเคลื่อนโครงการ Thailand Zero Dropout แก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาและเด็กตกหล่น ซึ่ง กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบการศึกษากลางคัน โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)มีเด็กตกหล่นและหลุดจากระบบการศึกษามากที่สุด และได้ดำเนินโครงการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหา “เด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา” และ “เด็กตกหล่น” ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 นำร่องดำเนินการ 7 จังหวัด และในปี พ.ศ. 2566 ขยายพื้นที่ดำเนินการเป็น 13 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาค จนเกิดเป็นนโยบาย Thailand Zero Dropout โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ร่วมกับ 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และในปี พ.ศ. 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ได้ต่อยอดต้นทุนการทำงานเดิม พัฒนาเป็นโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง” OBEC Zero Dropout ขยายผลดำเนินการครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ และในวันนี้(14 กุมภาพันธ์ 2568)ซึ่งเป็นวันดี วัน”แห่งความรัก” สพฐ.ตนได้รับรายงานจาก ดร.นิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.ว่า สามารถค้นหาเด็กตกหล่นและเด็กออกจากระบบกลางคันทั้ง 245 เขตพื้นที่ฯทั่วประเทศได้ครบ 100% แล้ว แบ่งเป็นเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จำนวน 616,625 คน เด็กออกกลางคัน จำนวน 106,966 คน รวม 723,591คน และวันนี้ สพฐ.ได้ประกาศตัวเลขและจัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร ให้กับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตพื้นที่ทั้ง 245 เขต และผู้อำนวยการเขตตรวจราชการดีเด่นด้านการบริหารจัดการ จำนวน 18 เขตตรวจราชการ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
“เป็นที่น่าชื่นชมว่า สพฐ.เป็นหน่วยงานแรก และมีเด็กจำนวนมาก ที่เราสามารถติดตาม ค้นหา เด็กออกจากระบบการศึกษาได้ครบทุกคน ทุกเขตพื้นที่ฯทุกโรงเรียนรวมถึงเด็กที่อยู่ในการศึกษาพิเศษด้วย เป็นวันที่พวกเรามีความสุขที่สุด เป็นวันแห่งความรัก ทั้งนี้ ผมขอขอบคุณที่ทุกหน่วยงานที่ร่วมมือร่วมใจกันค้นหาเด็กที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการท้าทายในเรื่องของการศึกษา จะเห็นได้ว่าตัวเลขที่เราได้มา 1.2 ล้าน ที่หลุดจากระบบการศึกษา เห็นแล้วไม่สบายใจ ตกใจ ซึ่งเราจะนิ่งนอนใจไม่ได้ รัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็สั่งการให้ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ต้องตามเด็กเหล่านี้เข้ามาสู่ระบบการศึกษาให้ได้มากที่สุด ซึ่งตนก็ได้มอบหมายให้ ดร.นิยม ไผ่โสภา ซึ่งเป็นผอ.กองแผนและนโยบาย สพฐ.ช่วยตามขับเคลื่อนกันทั้งประเทศ ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าภายในไม่ถึง 2 เดือน เราก็สามารถค้นหาเด็กครบ 100% ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของ สพฐ.ซึ่งผมจะรายงานให้ รัฐมนตรีรับทราบต่อไป”เลขาธิการกพฐ.กล่าวก็็
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินงานระยะต่อไป เมื่อเราค้นหาเด็กเจอแล้วว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน ก็จะนำพวกเขาสู่ระบบการศึกษาให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าเด็กคนไหนไม่สามารถกลับมาเรียนได้ ก็จะพาการศึกษาไปให้พวกเขา เราจะไม่ยอมให้เด็กตกหล่นและจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสพฐ. ได้พัฒนาแนวปฏิบัติการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นด้วยแนวทาง “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสังกัด สพฐ. เพื่อเอื้อให้สถานศึกษาได้พัฒนานวัตกรรมการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อจัดการศึกษาให้เด็กและเยาวชนที่มีเงื่อนไขข้อจำกัดในชีวิตได้ยังคงอยู่ในระบบการศึกษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์ชีวิต ได้แก่ นวัตกรรมโรงเรียนมือถือ (Mobile School) นวัตกรรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ที่ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ทุกสถานที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) อีกทั้งเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชน ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เรียนผ่านการเก็บ Credit Bank ทำให้เรียนไปพร้อมมีรายได้ (Learn to Earn) ตอบโจทย์ชีวิตผู้เรียน ครอบครัว และชุมชน เพื่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” ในภาพรวมของประเทศอย่างยั่งยืน