เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 ที่ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ นายพิศณุ ศรีพล รักษาการนายกสมาคมนิสิตเก่าภาควิชาบริหารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ รศ.ดร.ธีรภัทร กุโลภาส ประธานสาขาวิชาบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงาน “มุทิตา เสวนา เลือกตั้ง” ภายใต้มอตโต้ “OLD KEYS DON’T UNLOCK NEW DOORS”เสวนาวิชาการ หัวข้อ “พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ รูปแบบไหนไขปัญหาชาติ” โดยดร.นิวัตร นาคะเวช อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย ดร.กมล รอดคล้าย สมาชิกวุฒิสภา รศ.ดร.เอกชัย กี่สุขพันธ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. นายทนง โชติสรยุทธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา และกรรมการ บริษัทเพลินพัฒน์ จำกัด ดำเนินรายการโดย นางสาวศศิธร วัฒนกุล ผู้ช่วยผู้จัดการโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
ดร.นิวัตร กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ติดใจคำว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ รูปแบบไหนแก้ไขปัญหาชาติ ซึ่งเป็นคำที่มีความหมาย คงต้องมาคิดว่าใครก็ตามที่จะสร้างรูปแบบได้จะต้องมีหลักการ หลักคิด มีทฤษฎีที่ชัดเจน ถ้าตนเป็นคนเขียน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ หลักการของตนจะยึดหลักการของในหลวง รัฐกาลที่9 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และพระบรมราโชบายของ รัฐกาลที่10 ที่มี 4 ด้าน คือ 1.มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง 2.มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรม 3.มีงานทำ มีอาชีพ และ4.เป็นพลเมือนที่ดี มาเขียน ขณะเดียวกันก็จะไปดูแผนปฏิรูปประเทศว่าพูดถึงการศึกษาอย่างไร และจะดูว่ามีปรัชญาการศึกษาอะไรบ้างที่จะสร้างคน ซึ่งปรัชญาแรกคือการศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม แต่คนไม่ค่อยคิดถึง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตนคิด คือ การศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม การศึกษาเพื่อคนทุกคน การศึกษาคือการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ซึ่งมีความหมายกับความเป็นไทยและมีความสำคัญมาก และสิ่งสำคัญคือการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ โดยตนคิดเสมอว่า การศึกษาที่แท้จริง คือ สิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนที่ต้องได้รับอย่างมีคุณภาพ ถ้าเขียนแบบไม่คิดเรื่องนี้ ก็จะไม่ตอบสนองประเทศ นอกจากนี้ยังต้องยึดหลักของการมีส่วนร่วมการกระจายอำนาจ การสร้างโอกาสและความเสมอภาคด้วย เพราะฉะนั้นคนเขียนจะต้องมีหลักการก่อนถึงจะเขียนได้ดี
ดร.กมล กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็นธรรมนูญกฎหมายหลักด้านการศึกษาของชาติ ปัจจุบันยังมีอยู่ คือ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 และวันนี้ก็มีความพยายามที่จะจัดทำขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิม โดยสถานการณ์ ของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่นั้น ในปัจจุบันมีการเสนอในหลายส่วน ซึ่งกลุ่มที่หนึ่ง คือ รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการโดยหยิบร่าง พ.ร.บ.ฉบับที่ยุติไปเมื่อรัฐบาลที่แล้วมานำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีใหม่ เชื่อว่าจะมีการนำเสนอเข้าสู่สภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้พรรคภูมิใจไทยได้เสนอตัดหน้าไปแล้ว และก็มี ร่างของ พรรคเพื่อไทย และส่วนตัว ตนเชื่อว่าจะมีพรรคอื่น ๆ อีกที่จะเสนอเข้ามา โดยเฉพาะพรรคประชาชนที่จะต้องเสนอเข้ามาแน่นอน โดยทั้งหมดนี้เชื่อว่า ภายใน 2 เดือนนี้ จะมีร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติเสนอเข้าสู่สภาฯได้
ดร.กมล กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อเสนอของตนมี 3 ประเด็น คือ 1.ต้องเน้นหลักการให้ชัด ระบบการศึกษาต้องวางหลัก และรายละเอียดบางเรื่องไปไว้ที่กฎหมายลูก แล้วเสนอกฎหมายลูกประกบมาเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน 2. ต้องบรรจุสิ่งที่คิดว่าควรมีลงไปในรายละเอียดด้วย และ 3.เวลาจะขับเคลื่อนจะต้องพูดเป็นประเด็น ในการนำเสนอต้องเสนอประเด็นให้ชัดเจน เช่น เรื่องครู โครงสร้าง หลักสูตร จะต้องมีการถกและแย้งกันตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตามโดยสรุปตนเชื่อว่า พ.ร.บ.แบบไหนแก้ปัญหาการศึกษาชาติได้ นั่นก็คือ พ.ร.บ.ที่ทำให้ทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษา ทำให้คนได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพ มีขีดความสามารถในการแข่งขันกับทั่วโลกได้ เป็น พ.ร.บ.เพื่อคนรุ่นใหม่ในอนาคต
รศ.ดร.เอกชัย กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ต้องมี Keyword จะจัดรูปแบบใดก็ตามต้องทำให้เด็กไทยได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง เป็นธรรมกับผู้เรียนทุกกลุ่ม ตนคิดว่าถึงเวลาต้องเขียนโครงสร้างของจังหวัดให้จังหวัดรับผิดชอบการศึกษาของจังหวัดตัวเองได้แล้ว ถ้าจังหวัดไหนมีความพร้อมก็ให้ดูแลไปเลยทั้งระดับประถมฯและมัธยมฯ และถึงเวลาที่เขตพื้นที่การศึกษาจะต้องสังกัดจังหวัด ถ้าเขียนชัด ๆจะช่วยเรื่องการกระจายอำนาจ งบประมาณไปลงที่โรงเรียน ลงที่การศึกษาอย่างชัดเจน เรื่องนี้ถ้าเปลี่ยนมุมมองเรื่องการจัดการเพื่อสร้างเด็กให้มีคุณภาพจะต้องให้อิสระเขาในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของเขาเอง เปลี่ยนมุมมองจากเคยรวบอำนาจอยู่ที่ส่วนกลางก็ให้มาทำหน้าที่เพียงมอนิเตอร์อย่างเดียว กระทรวงศึกษาธิการต้องเล็กลง ทุกวันนี้ศึกษานิเทศมีทั้งจังหวัด และเขตพื้นที่ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณและซ้ำซ้อน เรามีโรงเรียนเป็นหน่วยปฏิบัติไม่จำเป็นต้องมีศึกษานิเทศก์ทุกเขตพื้นที่ให้มีที่จังหวัดก็เพียงพอแล้ว ซึ่งถ้าทำได้จะสามารถประหยัดงบประมาณได้มาก
ด้านนายทนง กล่าวว่า รัฐพึงมีหน้าที่ในการสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาในทุกระดับการศึกษา อย่างมีคุณภาพ ต้องคิดในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้ก้าวกระโดดทันต่อสถานการณ์ ให้เรื่องแก้ปัญหาการศึกษา เป็นเรื่องเดียวกันกับการแก้ปัญหาของประเทศ เชื่อมโยงบูรณาการกับยุทธศาสตร์อื่น เป็นกลไกสำคัญในการเปิดกว้าง กระตุ้น กำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ถูกจำกัด หรือไม่เป็นอุปสรรคเสียเอง ลดความเหลื่อมล้ำ ผลักดันกรอบแนวคิดโรงเรียนดีใกล้บ้าน ลดภาระทางเศรษฐกิจ และให้มีการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาให้ท้องถิ่น ผลักดันให้เกิด Digital Transformation เพื่อให้มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษา และการติดตามผลการดำเนินงาน และสนับสนุนให้เกิด Platform ต่าง ๆ เพื่อให้องค์ความรู้กระจายไปอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ ทั้งนี้พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะต้องมีกรอบแนวคิดที่ชัดเจนให้เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเป็นวาระแห่งชาติ