เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ว่า ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าผลการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)ตามที่ สพฐ.ได้เสนอให้แก้ไขระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดภาคเรียน พ.ศ.2549 โดยให้มีการแก้ไขวันเปิดและปิดภาคเรียนที่ 1 จากวันที่ 16 พฤษภาคม -11 ตุลาคม เป็น วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 กันยายน และเปิดภาคเรียนที่ 2 วันที่ 1 พฤศจิกายน -1 เมษายน ซึ่งตนได้มอบหมายให้สำนักฯที่เกี่ยวข้องไปประชุมร่วมกับผู้ที่จะต้องได้รับผลกระทบต่อการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียน เชิญชวนให้รับฟังความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็น อบจ.สช.โรงเรียนเอกชน สกร.อาชีวศึกษา โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โรงเรียนพระปริยัติธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าจะต้องปรับอะไรกันบ้างถ้าจะต้องเลื่อนปิด- เปิด ภาคเรียน

“ผลดีของการเลื่อนปิด- เปิด ภาคเรียนครั้งนี้ เนื่องจาก เป็นวันสิ้นปีงบประมาณซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำแผนบริหารงบประมาณ เรื่องย้ายครู ย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน อีกทั้งเด็กจะมีเวลาปิดภาคเรียนที่ 1เพิ่มมากขึ้นเด็กได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ครูก็จะได้มีเวลาเตรียมการเรียนการสอนให้มากขึ้น รวมถึงการบริหารงานด้านอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานอื่น ๆ เห็นด้วย ก็จะเลื่อนเปิดเทอมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.นี้เลย”เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงนโยบายให้ครูเลื่อนชั้นตามนักเรียน เพื่อครูจะได้ดูแลนักเรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ สพฐ.คิดหารูปแบบเพื่อให้ครูได้ดูแลติดตามนักเรียนในเรื่องของพัฒนาการของนักเรียน การอ่านออก เขียนได้ รวมถึงพฤติกรรมต่างๆด้วย โดยให้เริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อน ถ้าปีหน้าเด็กเลื่อนขึ้น ป. 2 ก็ให้ครูเลื่อนชั้นตามเด็กขึ้นไปอยู่ ป.3 ก็ให้ครูเลื่อนชั้นขึ้น ป.3 ตามไปด้วย เป็นต้น ซึ่งเป็นที่หน้ายินดีว่ามีโรงเรียนสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้กว่า 2,000 โรง ที่จะรับเรื่องการบริหารจัดการครูแบบช่วงชั้นไปดำเนินการซึ่งตนได้มอบหมายให้สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สพฐ. และให้ ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.ไปดำเนินการ ซึ่งอาจจะต้องมีการวิจัยเปรียบเทียบดูว่าการการเรียนการสอนแบบครูช่วงชั้นกับการเรียนปกติ แบบไหนจะเกิดพัฒนาการกับผู้เรียนและเกิดคุณภาพการศึกษาดีกว่า

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต)และการสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ซึ่ง สพฐ.ได้มอบหมายให้สำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ.ไปทำมาตรการจูงใจ เพื่อให้เด็กเข้ามาสอบโอเน็ตมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาพบว่าเด็กสอบโอเน็ตลดลง มีการสมัครสอบแล้วแต่พอถึงเวลาก็ไม่มาสอบทำให้สูญเสียงบประมาณในการจัดพิมพ์ข้อสอบ ดังนั้นปีนี้จึงให้สำนักทดสอบฯไปหามาตรการในการจูงใจ รณรงค์ให้เด็กมาสอบมากขึ้น และเน้นย้ำให้การสอบทุกอย่างของ สพฐ. ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบด้านการอ่าน หรือ RT การทดสอบความสามารถพื้นฐานของผู้เรียนระดับชาติ หรือ NT ซึ่งเป็นการสอบคนละกลุ่มเป้าหมายและคนละวัตถุประสงค์ แต่ก็ทำให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมถึงต้องจัดทดสอบ เพราะการสอบเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับการสอบ PISA ซึ่งเป้าหมายคือต้องการให้การสอบ PISAในรอบต่อไปสูงขึ้น

4 1 vote
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments