นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการเยียวยานักเรียน นักศึกษาที่ยังไม่ได้รับเงินจากกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต  ว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ซึ่งมีการตรวจหลักฐานว่ามีการโอนเงินไปให้เด็ก แต่ไม่ถึงตัวเด็กมากถึง 78 ล้านบาท  และบางส่วนโรงเรียนได้แก้ปัญหาโดยหางบประมาณส่วนอื่นมาจ่ายแทนก่อน แต่ก็ยังมีอยู่บางส่วนที่โรงเรียนเป็นหนี้กว่า  40 ล้านบาท และทวงถามมาที่กองทุน ดังนั้นตนจึงได้ทำหนังสือหารือไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ว่าจะสามารถใช้เงินกองทุนที่เหลืออยู่เยียวยาเด็กเหล่านี้ได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้มีการปรับแก้ถ้อยคำว่า “ขออนุมัติทุนให้แก่ผู้ที่มีสิทธิได้รับทุนแล้ว”แต่ยังไม่ได้รับเงิน ตั้งแต่ปลายปี 2561 จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหนังสือตอบกลับมาจากกรมบัญชีกลางว่าจะอนุมัติให้นำเงินกองทุนมาจ่ายให้เด็กที่มีสิทธิได้รับทุนแต่ยังไม่ได้รับเงิน ได้หรือไม่  ซึ่งตนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ติดตามความคืบหน้าตลอดเวลา

 ปลัดศธ.กล่าวต่อไปว่า หนังสือหารือไปยังกรมบัญชีกลางจะต้องใช้เงินจากกองทุนฯ ประมาณ 23  ล้านบาท โดยเป็นส่วนของนักเรียนพยาบาล ของวิทยาลัยพยาบาล 25 แห่ง รวมเงินกว่า 18 ล้านบาท  และครูจ้างชั่วคราวในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 49 คน รวมเงินกว่า 21 ล้าน บาท อย่างไรก็ตามสำหรับการจัดสรรเงินกองทุนปีการศึกษา 2561 โดยมีการปรับปรุงแก้ไขขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อจัดสรรเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการอุดช่องโหว่ที่อาจทำให้เกิดการทุจริตขึ้นได้อีก ซึ่งได้จัดสรรเงินเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นทุนนักศึกษาพยาบาล จำนวน 213 คนๆละ 55,000 บาทรวมเป็นเงิน 11,715,000 บาท ทุนจ้างครูชั่วคราว ในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 49 คนๆละ 18,900 บาท เป็นเงิน 9,261,000 บาท รวมทั้งสิ้น 20,976,000 บาท ซึ่งระบบสามารถตรวจสอบได้

นอกจากนี้ นายการุณ  ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริง โครงการเช่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตในระบบ MoeNet ว่า ล่าสุดนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์  รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ลงนามในหนังสือเพื่อส่งข้อมูลและรายชื่อผู้ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ MoeNet ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากศธ.  ใช้อำนาจในการบริหารตรวจสอบ ไม่ใช่เจ้าพนักงาน และโครงการนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 ส่วนใหญ่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในราชการให้ข้อมูลแค่ว่าไม่รู้ ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ต้องส่งให้ ป.ป.ช.ในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายตรวจสอบต่อไป  และในส่วนที่มีการตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่พัสดุเสนอเงิน 7% เป็นค่าตอบแทนในการต่อสัญญานั้น คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงได้สรุปผลเรียบร้อยแล้ว นิติกร สำนักนิติการอยู่ระหว่างการตรวจสอบสำนวน

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments