เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ดร. กมล รอดคล้าย ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอุดมศึกษาฉบับที่…พ.ศ….วุฒิสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญครั้งที่ 6 / 2567 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นการประชุมที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมใหญ่วุฒิสภา โดยการประชุมครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากได้มีการประชุมมาแล้ว 5 ครั้ง โดยการประชุมได้พิจารณาร่างพรบ.อย่างละเอียดเป็นรายมาตรา และเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา ได้มีส่วนร่วมเเปรญัตติ สำหรับครั้งนี้ได้มีการพิจารณา ทบทวนร่างพรบ.การอุดมศึกษาฉบับที่…พศ…และร่าง พรบ.ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ และได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการวิสามัญเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ได้มีการตรวจสอบรายงานของกรรมาธิการเพื่อนำเสนอวุฒิสภาบรรจุเป็นวาระเข้าที่ประชุมใหญ่พิจารณาต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการประชุมครั้งเเรกๆในสมัยประชุมสภาเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
ดร.กมล กล่าวต่อไปว่า สำหรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ถือเป็นร่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะได้ปรับปรุงและจัดทำขึ้นเพื่อให้สอดรับกับการจัดตั้ง“กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา ” ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่จัดสรรเงินกองทุน และกำกับติดตามให้เกิดการพัฒนาความเป็นเลิศของสถาบันอุดมศึกษา และการส่งเสริมการผลิตกำลังคนระดับสูงเฉพาะทางได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามความต้องการของประเทศ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการทำงานของการอุดมศึกษาให้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง โดยพรบ.ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าวได้กำหนดประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของ การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุน การจัดทำคำรับรองการปฎิบัติงาน การตรวจสอบและกำกับติดตาม รวมทั้งความเชื่อมโยงกับสภานโยบายการอุดมศึกษาฯ ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ มีความเป็นอิสระและคล่องตัว สามารถปรับภารกิจให้สอดรับกับภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี
“คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ทำงานด้วยความเเข็งขันและรวดเร็ว รอบคอบ สำเร็จได้ด้วยดี เพราะมีองค์ประกอบที่สำคัญครบถ้วนคือวุฒิสมาชิกเเละผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 21 ท่าน และ ผู้ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้เข้าร่วมชี้เเจง ได้แก่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ของวุฒิสภา ก็ถือได้ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่สภา และรัฐบาลจะมอบให้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป”ดร.กมล กล่าว