เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม)เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พร้อมอนุมัติงบประมาณดำเนินงานต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี จำนวนปีละ 30,327,930 บาท โดยประมาณ สำหรับจัดตั้งศูนย์การเรียนฯ ใน 77 จังหวัด รวม 85 ศูนย์การเรียนรู้ และมีการจ้างครูประจำศูนย์การเรียนฯ จำนวน 151 อัตรา เพื่อดูแลเด็กที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ให้มีโอกาสได้รับบริการทางการศึกษา พัฒนาทักษะการเรียนรู้ การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเด็กออกจากโรงพยาบาลแล้ว สามารถกลับเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาเดิม หรือส่งต่อเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษานอกระบบหรือตามอัธยาศัยเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการรักษาได้
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า ด้วยปัจจุบันในแต่ละปีมีเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพจำนวนมากที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหรือที่บ้านเป็นเวลานานหรือต่อเนื่อง ส่งผลให้เด็กขาดโอกาสทางการศึกษาหรือไม่ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สพฐ. โดยสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ร่วมกับโรงพยาบาลได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์การเรียนฯ ใน 77 จังหวัด รวม 85 ศูนย์การเรียนรู้ โดยมีการจ้างครูประจำศูนย์การเรียนฯ จำนวน 151 อัตรา พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อวัสดุสำนักงานและวัสดุสำหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับโรงพยาบาลนอกสังกัดกรมการแพทย์ สธ. จำนวน 4 จังหวัด 6 ศูนย์การเรียน และสนับสนุนงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์สำหรับจัดการเรียนการสอนในศูนย์การเรียนฯ ที่ทันสมัย เหมาะสมกับสภาพความเจ็บป่วยและเพียงพอ เช่น แท็บเล็ตและอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลแบบภายนอก หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่จำเป็น เป็นต้น
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า งบประมาณดังกล่าว จะช่วยให้เด็กที่รักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวนไม่ต่ำกว่า 35,000 คน ได้รับบริการทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องและสามารถส่งต่อเด็กกลับไปยังสถานศึกษาเดิมหรือเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษานอกระบบหรือตามอัธยาศัย สามารถลดปัญหาภาคสังคมได้อย่างมาก เนื่องจากเด็กที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลมีโอกาสได้รับบริการทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง ด้วยรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับสภาพความเจ็บป่วย ส่งผลให้เด็กมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี และสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคม นอกจากนี้ ยังสามารถลดปัญหาค่าใช้จ่ายของภาครัฐในด้านการศึกษา เนื่องจากเมื่อเด็กออกจากโรงพยาบาลแล้ว สามารถกลับเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาเดิมได้อย่างต่อเนื่องหรือส่งต่อเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษานอกระบบหรือตามอัธยาศัย ส่งผลให้เด็กนักเรียนไม่รู้สึกท้อแท้ เบื่อการเรียน และไม่ต้องลาออกจากโรงเรียนในระหว่างภาคการศึกษาและมีความรู้สำหรับใช้ในการประกอบอาชีพอีกด้วย
“สพฐ. ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานดังกล่าว โดย สพฐ. พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงาน และเดินหน้าสานต่อนโยบายลงสู่สถานศึกษาและผู้เรียนทั่วประเทศ ตามนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายนักเรียนและผู้ปกครอง และยกระดับการศึกษาไทยในภาพรวมทั้งระบบ พร้อมทั้งตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่เป็นรากฐานสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกด้วย เพื่อประโยชน์สูงสุดของนักเรียนอย่างแท้จริง” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว