เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.)เปิดเผยว่า พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยผู้เรียนอาชีวะที่จะต้องมีที่เรียนอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่องซึ่งจากกรณีที่มีผู้ปกครองนักศึกษาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร้องเรียนว่าทางวิทยาลัยได้เชิญผู้ปกครองนักศึกษาชั้น ปวช.1 – 2 และ ปวส.1 มาประชุมเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา และแจ้งยุบปิดกิจการวิทยาลัยฯ กะทันหัน โดยอ้างว่ามีนักเรียนสมัครเข้าเรียนน้อยไม่คุ้มค่าใช้จ่าย และให้นักเรียนทั้งหมดหาที่เรียนใหม่ โดยได้ติดต่อวิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฎร์ธานีไว้ให้นั้น ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้รับรายงานเพิ่มเติมจากสำนักบริหารการอาชีวศึกษาเอกชน(สอช.) ว่าวิทยาลัยเอกชนดังกล่าว ได้รายงานการดำเนินการ หลังจากประชุมชี้แจง ผู้ปกครอง ดังนี้
1. นักเรียนในระดับ ปวช.3 จบปีการศึกษา 2 รอบ คือ รอบแรก 28 คน และรอบสอง 24 คน
2. นักเรียนในระดับ ปวส. 2 จบปีการศึกษา 2 รอบ คือ รอบแรก 28 คน และรอบสอง 22 คน โดยจะรับใบระเบียนแสดงผลการเรียน (รบ.) รอบแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป และรอบสองรับในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
3. นักเรียนกำลังเรียน ปวส.2 (จบ ม.6) จะต้องเรียนภาคฤดูร้อนอีก 1 ภาคเรียน และจบการศึกษาในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567
4. นักเรียนระดับ ปวช.1 ปวช.2 และ ปวส.1 ที่ยังไม่จบการการศึกษา ทางวิทยาลัย ฯ จะออก รบ. ศึกษาต่อให้นักเรียนทุกคนเพื่อไปสมัครเรียนต่อ ภายในวันที่ 16 เมษายน2567 หรือถ้านักเรียนต้องการ รบ. ก็จะทำหนังสือรับรองการศึกษาให้ก่อน ทั้งนี้ วิทยาลัยฯ มีความจำเป็นจะต้องจ้างครูบางส่วน เพื่อทำหน้าที่ส่งนักเรียนให้หมดทุกคน และได้ประสานไปยัง วิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฎร์ธานี วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโกสุราษฎร์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสุราษฎร์พาณิชยการ และวิทยาลัยการอาชีพไชยา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในการรับนักเรียนไปศึกษาต่อ โดยวิทยาลัยฯ จะปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567
เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องของการยุบปิดกิจการสถานศึกษาเอกชน นั้นทาง สอช. รายงานว่า เมื่อสถานศึกษาประสงค์ขอเลิกกิจการโรงเรียน จะต้องยื่นคําขอเพื่อขอรับการพิจารณาอนุญาตให้เลิกกิจการโรงเรียนในระบบ พร้อมด้วยเหตุผลต่อผู้อนุญาตล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันก่อนสิ้นปีการศึกษา โดย สอศ.จะมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเลิกดำเนินกิจการของสถานศึกษา โดยให้สถานศึกษาดำเนินดังนี้ กลุ่ม 1. ผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา สถานศึกษาจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองให้ชัดเจนว่า การประกาศเลิกกิจการมิใช่เป็นการเลิกกิจการทันที แต่โรงเรียนยังมีภารกิจในการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน นักศึกษาและผู้ปกครอง ในเรื่องของเอกสารหลักฐานการศึกษา และการส่งต่อนักเรียน นักศึกษาที่ยังไม่สำเร็จการศึกษาที่ประสงค์ไปสถานศึกษาแห่งอื่น กลุ่ม 2. ครูและบุคลากรทางการศึกษา การให้จ่ายเงินชดเชยแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งนี้ก็จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2552 ข้อ 32 และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ตนได้กำชับให้ สอช. สำรวจและรายงานข้อมูลสถานศึกษาที่ยื่นเรื่องขอหรือมีแนวโน้มที่จะปิดยุบเลิกกิจการ ให้ สอศ. ทราบเป็นรายเดือน เพื่อเตรียมรองรับผู้เรียนให้สามารถเรียนได้อย่างต่อเนื่อง และดำเนินการตรวจสอบข้อมูลให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง
”ส่วนเรื่องเงินอุดหนุนสถานศึกษามีการพูดถึงในกรณีดังกล่าว นั้น สอศ. ได้มอบหมายให้ สอช.และ สอจ. เร่งตรวจสอบข้อมูลส่วนที่เป็นจุบันแล้ว ซึ่งพบว่าสถานศึกษามีจำนวนนักเรียนที่รับเงินอุดหนุน ปีการศึกษา 2566 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพจำนวน 196 คน (ข้อมูล ณ มกราคม 2567) การจ่ายเงินอุดหนุนมีหลักเกณฑ์คือ กรณีสถานศึกษาขอเลิกกิจการตั้งแต่ปีการการศึกษา 2567 เป็นต้นไป ส่วนราชการจะดำเนินการจ่ายเงินอุดหนุนตามจำนวนนักเรียนที่ได้ลงทะเบียนและเรียนอยู่จริงจนถึงเดือนพฤษภาคม 2567 ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการกำหนดมาตรการช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนเอกชนเป็นเงินอุดหนุนรายบุคคล พ.ศ. 2558 ซึ่งหน่วยงานทั้งสอช. และสอจ.จะต้องร่วมกันดำเนินการตรวจสอบข้อมูล และรายงานให้ สอศ.ทราบอย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการแจ้ง ทำความเข้าใจ และหาที่เรียนให้กับกลุ่ม 1 ผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา ซึ่งสถานศึกษาจะต้องจัดทำรายงานดังกล่าว และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องยื่นมายัง สอศ. ซึ่ง สอศ. ก็จะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและพิจารณาในเรื่องของการขอเลิกกิจการตามระเบียบต่อไป”นายยศพลกล่าว