เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจขององค์กรหลักและองค์กรในกำกับกระทรวงศึกษาธิการ โดย มีนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารองค์กรหลัก/ในกำกับ เข้าร่วมประชุม โดย พล.ต.อ.เพิ่มพูน เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามงาน โดยมีเรื่องที่น่าสนใจ คือ กรณี ครูแตมป์ คุณครูสอนนาฏศิลป์ โรงเรียนเดชอุดม จ.อุบลราชธานี ได้โพสต์คลิปขณะรำไทย จนเป็นไวรัลมีผู้เข้าชมคลิปกว่า 9 ล้านวิว ซึ่งถือเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ และกรณีคณะครูโรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่นำนักเรียนไปร่วมแข่งขันในกิจกรรมงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ที่โรงเรียนศึกษานารีวิทยา โดยขากลับได้พบตำรวจเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำบนทางด่วน จึงเข้าช่วยเหลือโดยทันที และประสานกับโรงพยาบาลจนกระทั่งรถพยาบาลมารับผู้บาดเจ็บไปรักษาได้ทันนั้น ทำให้เห็นว่า การทำอะไรต่าง ๆ ในเรื่องที่ดีสามารถทำได้โดยไม่ต้องให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการ ก็ขอชื่นชมบุคลากรทุกคนที่มีหัวใจความเป็นครูและตอบรับนโยบายรัฐมนตรี เรียนดี มีความสุข โดยแบ่งปันความสุขให้กับสังคม ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและขอเป็นกำลังใจให้ครูทำดีต่อไป รวมถึงขอบคุณไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ที่ส่งเสริมให้บุคลากรทำในเรื่องที่ดี
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ได้มีการติดตามกำชับมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เรื่องการให้ยกเลิกการอยู่เวรของครูในโรงเรียนและสถานศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการลดภาระของครูเพื่อความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของครู โดยมีการติดตามว่า ได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง ตอบรับนโยบายอย่างไร และมีการสำรวจว่าสถานศึกษามีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างไร มีกล้องวงจรปิดหรือไม่ มีการประสานกับฝ่ายตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือ ฝ่ายความปลอดภัยต่าง ๆ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในชุมชนหรือยัง ซึ่งตอนนี้ได้รับรายงานว่า มีการตอบรับดีมาก เช่น ที่จังหวัดเชียงรายที่มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือ มีภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนตู้แดงเพื่อช่วยตำรวจ และมีหลายพื้นที่ที่มีการขับเคลื่อนโดยมีศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้ประสานงาน ขณะเดียวกันปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ได้สั่งการให้ส่วนราชการของกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่ลงไปช่วยเหลือแล้ว ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีการกำชับลงไปแล้วเช่นกัน ทั้งนี้สำนักงบประมาณก็จะต้องมีการสนับสนุนเงินค่าน้ำมันสำหรับฝ่ายต่าง ๆ ที่เข้าไปช่วยตรวจตราในพื้นที่ด้วย แต่อย่างไรก็ตามบางพื้นที่อาจจะมีความเข้าใจไม่ชัดเจนอยู่ ดังนั้นปลัดกระทรวงศึกษาธิการก็จะเข้าไปช่วยประสานในการดำเนินงานต่อไป
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวว่า นอกจากนี้ตนได้มอบนโยบายให้นำเทคโนโลยีมาใช้ให้มากขึ้น เช่น การรายงานเพื่อทราบ เพื่อเป็นการลดภาระการรายงานลง โดยให้รายงานผ่านระบบไอที หรือ แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่จะสามารถติดตามได้ตลอดเวลาเป็นการลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์รายงาน ไม่ต้องสั่งการ ไม่ต้องมีหนังสือเซ็นสั่ง แต่ทั้งนี้หากเป็นกรณีการมีหนังสือสั่งการก็ยังต้องดำเนินการตามระเบียบราชการอยู่ ยกเว้นเรื่องเพื่อทราบที่จะย่อลงมา เพราะกระทรวงศึกษาธิการยุคนี้จะนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยสนับสนุนการทำงาน เพื่อลดภาระของทุกฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่ธุรการ ครูและบุคลากร และจากการลงพื้นที่จังหวัดตราดเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้ติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษา ถือว่ามีการขับเคลื่อนไปได้ โดยจากการตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านท่าเรือจ้าง(ประชาชนูปถัมภ์) จังหวัดตราด พบว่า เด็กมีความสุข มีความตื่นตัวในการแสดงออก ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ยังได้มีการประชุมร่วมกับสถานศึกษาทุกสังกัดในจังหวัดตราด เพื่อรับฟังปัญหาร่วมกัน ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีในการทำงานเชิงบูรณาการด้านการศึกษาร่วมกันของทุกภาคส่วน
“ผมได้ฝากหัวหน้าแท่งให้ไปดูว่า จะทำอย่างไรให้ครูฝ่ายปกครองเข้าถึงเด็กทุกคนให้เหมือนกับเป็นพ่อแม่คนที่สอง เวลาเกิดอะไรให้คิดถึงฝ่ายปกครองก่อน เพราะเราต้องเข้าใจว่า เด็กบางคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดเหตุก็อยากให้นึกถึงฝ่ายปกครองเป็นคนแรก หรือ ผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทันท่วงที ยกตัวอย่างเช่นมีกรณีเหตุทะเลาะวิวาทก็อยากให้มาปรึกษา เพราะเป็นเรื่องของความไว้วางใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สั่งการไม่ได้ ก็ต้องขอร้องให้ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการโรงเรียนเข้าใจ และเข้าถึงหัวใจของเด็ก ๆ ทุกคน เป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สอง เป็นเหมือนเพื่อนให้เด็กสามารถมาปรึกษาได้ เพราะถ้าเข้าใจเหมือนเลี้ยงลูก ลูกก็จะกล้าเล่า เหตุการณ์ที่ไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะเขาเชื่อว่าพ่อแม่หรือครูจะสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้”รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า ส่วนกรณีที่ ครูในจังหวัดบุรีรัมย์หลอกผู้ปกครองและเด็กนักเรียนเซ็นเอกสารอ้างนำไปประกอบรับทุน แต่กลับไปถอนเงินออมนักเรียนเป็นเงินกว่า 5 แสนบาท นั้น ก็มีการติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว