เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2566 ดร. นิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย(สปคท.)เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตน พร้อมด้วย นายพิศณุ ศรีพล อุปนายกสปคท.และผู้บริหารโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี โรงเรียนโพธิสารพิทยากร โรงเรียนเบญจมราชาลัยในพระบรมราชูถัมภ์ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล โรงเรียนวัดสังเวช โรงเรียนหอวัง นนทบุรี และโรงเรียนวัดสิงห์ ได้พานักเรียนจำนวน 42 คน ไปแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมกับ Systems Plus College Foundation(SPCF)ที่เมืองแอลเจลิส ประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาหลักประการหนึ่งของเด็กไทยในเรื่องการเรียนภาษา คือ จะพูดหรือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีความมั่นใจ ขณะที่เรามีความรู้เรื่องของหลักไวยากรณ์ดีมาก ดังนั้นเป้าหมายของการมาศึกษาดูงานครั้งนี้ ก็คือเพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองได้มาเห็นการส่งเสริมการจัดการการเรียนการสอนของมูลนิธิ Phoenix Publishing house ซึ่งเป็นผู้ผลิตสื่อการเรียนการสอนให้กับโรงเรียนเอกชนของฟิลิปปินส์
“จุดประสงค์ของสปคท.คือการยกระดับคุณภาพของนักเรียนและครู เพราะเราได้นำครูที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หลักสูตร Intensive English Program(IEP)ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีการจัดการเรียนการสอนเน้นการเรียนวิชา Mathematics, Science, English ในรูปแบบภาษาอังกฤษ มาเข้าค่ายด้วย โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร ถ้าครูเข้าใจเรื่องการสื่อสารก็จะดีกว่าให้ครูต่างชาติมาสอน ซึ่งจะได้เฉพาะการสื่อสาร แต่เนื้อหาสาระของหลักสูตรชาวต่างชาติจะไม่เข้าใจเท่ากับครูไทย ส่วนเด็กก็จะได้เรื่องของการสื่อสาร มีความมั่นใจที่จะพูดภาษาอังกฤษ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศฟิลิปปินส์ด้วย”นายกสปคท.กล่าวและว่า ตนเห็นว่าในความเป็นผู้ปกครองเราก็อยากส่งลูกหลานไปเรียนรู้หาประสบการณ์ด้านภาษาในต่างประเทศ ซึ่งถ้าไปประเทศในแถบยุโรป อย่างอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แม้แต่สิงคโปร์ซึ่งอยู่ในอาเซียนด้วยกันก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้ปกครองที่มีฐานะปานกลางก็จะไม่มีโอกาสส่งลูกหลานไปเรียน แต่ถ้ามาเรียนที่ฟิลิปปินส์ในระยะเวลา 14-15 วัน จะเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมค่าอาหาร ค่าที่พัก ประมาณ 4-5 หมื่นบาทเท่านั้น ขณะที่ไปประเทศอื่นที่ยกตัวอย่างไปแล้ว จะเสียค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนบาท
ดร.นิวัตร กล่าวอีกว่า ตนมาเยี่ยมเด็กแล้วเห็นเด็กมีความสุขกับการเข้าค่ายรู้สึกดีใจ ดังนั้นดูแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นประโยชน์ เป็นการสร้างโอกาสให้เด็กที่ไม่มีโอกาสโดยเฉพาะลูกหลานของผู้ปกครองที่มีรายได้ปานกลาง ยิ่งได้มาเห็นที่พักสำหรับเด็ก ๆ แล้ว รู้สึกสบายใจมาก เพราะเหมือนรีสอร์ท มีความปลอดภัยและอบอุ่น ดูแลดีมาก คนที่ไม่ได้มาเห็นของจริงจะไม่รู้เลยว่ามันเป็นโอกาสทองของเด็กจริง ๆ