เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานในกำกับของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(สป.ศธ.)ซึ่งเป็นหน่วยสนับสนุนการทำงานของ รมว.ศึกษาธิการ และ องค์กรหลักของ ศธ. เพื่อมาทบทวนภารกิจของแต่ละสำนักที่อยู่ในการกำกับของ สป ซึ่งเป็นหน่วยสนับสนุนงานของ รมว.ศึกษาธิการ และองค์กรหลักต่าง ๆ ใน ศธ.ซึ่งต้องทบทวนทั้งภารกิจเดิมที่มีอยู่และภาระงานใหม่ที่จะต้องสนองการทำงานตามนโยบายการศึกษาและจุดเน้นของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชินชอบ รมว.ศึกษาธิการ เช่น นโยบายขับเคลื่อนการจัดทำแพลตฟอร์ม เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime การสนับสนุนโยบายรัฐบาล การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งจะต้องมีผู้ดูแลที่ชัดเจน รวมถึงมาดูเรื่องกลไกการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบาย รมว.ศึกษาธิการ ที่เน้นในเรื่องการใช้เทคโนโลยี บริหารจัดการ ก็ขอให้แต่ละหน่วยงานไปปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการทำงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
ปลัด ศธ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนนโยบายป้องกันการทุจริต นั้น พล.ต.อ.เพิ่มพูน มอบหมายให้สำนักงานปลัด ศธ. เป็นหน่วยงานในการรวบรวมข้อมูลแต่ละองค์กร รายงานผลทุกสัปดาห์ ส่วนตัวเลขการร้องเรียนและผลการแก้ปัญหาทุจริตนั้น ยังไม่ได้มีการรายงานความคืบหน้าเข้ามา โดยการประชุมครั้งนี้ เป็นการหารือวิธีการทำงานเบื้องต้นก่อน ซึ่งทางศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ศธ. ก็รายงานเข้ามาว่า ปี 2566 มีเรื่องทุจริตที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเข้ามาเพิ่มเพียง 1 เรื่อง แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นเรื่องอะไร ขณะที่ทาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ก็ให้ทางศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ศธ. ดูแลปัญหาเรื่องการทุจริตเรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะ เพื่อแลกกับที่นั่งเรียน และการทุจริตเงินอาหารกลางวันเด็กด้วย ซึ่งตนก็ได้รับฟังแนวทางการทำงาน และขอให้แต่ละหน่วยงานไปบูรณาการแนวทางการทำงานของรมว.ศึกษาธิการ และ ของตน เพื่อขับเคลื่อนการทำงานให้สอดคล้องกัน
“นอกจากนี้ยังได้ดูรายละเอียดการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในสังกัดสำนักงานปลัด ศธ. ได้แก่ กองบริหารทรัพยากรบุคคล (กบค.)กองบริหารการคลัง (กค.) และกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ (กผป.) ว่า สอดคล้องกับภารกิจ มีกฎหมายรองรับ และมีการมอบหมายงานต่างกฎหมายถูกต้องหรือไม่ ทั้งนี้การตั้งหน่วยงานภายในสามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อตั้งขึ้นมาแล้วก็ต้องมีกฎหมายรองรับ และมีการมอบอำนาจให้แต่ละหน่วยงานสามารถทำงานได้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นในข้อกฎหมาย ซึ่งเท่าที่ดูการจัดตั้งไม่ได้ขัดกฎหมาย แต่ต้องมาดูเรื่องการมอบอำนาจ ซึ่งถ้าไม่ครบถ้วนก็จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ