*** จากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย วันนี้รัฐมนตรี “เศรษฐา 1” กำลังเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะในแวดวงการศึกษา โฉมหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังไม่นิ่งว่าจะตกเป็นของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำหรือพรรคภูมิใจไทย Focusnews.in.th จึงถือโอกาสสอบถามผู้บริหารสมาคมการศึกษาองค์กรต่าง ๆ เพื่อสะท้อนความเห็นส่งถึงรัฐบาลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการจัดสรรเสนาบดีที่จะมาขับเคลื่อนให้การศึกษาไทยเดินหน้าไปได้***
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ดร.ณรินทร์ ชำนาญดู นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) กล่าวว่า ผมมองว่าคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องมีประสบการณ์ในการเป็นครู หรือผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งที่ผ่านมา เราได้คนที่ไม่ตรงกับสายงาน กระทรวงอื่นก็ยังได้คนที่ตรงกับงาน กระทรวงสาธารณสุขยังได้คุณหมอ แต่กระทรวงครูเหมือนเป็นคนอาภัพ ไม่มีรัฐมนตรีที่รู้เรื่องการศึกษามาหลายปีแล้ว ไม่ได้รัฐมนตรีที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตความเป็นครู รู้เรื่องเกี่ยวกับครู รู้เรื่องกระบวนการต่างๆของเด็ก ผมในนามนายกสมาคม ส.บ.ม.ท. ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี เลือกคนที่มีความรู้ประสบการณ์ การศึกษามาเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้มาดูแลเด็ก มาดูแลครู
ดร.ปรีชา จิตรสิงห์ นายกสมาคมกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมฯเราต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถ เข้าใจเรื่องการศึกษามากเป็นพิเศษ ทหารหรือตำรวจก็น่าจะไปอยู่ทางฝ่ายที่เขาถนัดมากกว่า อย่างผมจบเอกฟิสิกส์แต่ให้ไปสอนภาษาไทย ก็คงสู้ครูภาษาไทยไม่ได้ เราเป็นองค์กรสมาคมระดับประเทศเราพยายามที่จะเสนอแนวทางการพัฒนาการศึกษาในหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญ เราได้มาหารือกันว่าถ้าบ้านเมืองเป็นแบบนี้การศึกษาจะไปไหวมั้ย สรุปแล้วก็คือผิดหวังกับการบริหารประเทศของนักการเมือง
“การศึกษาเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เป็นการให้ชีวิตคน ที่สมบูรณ์ให้ไปพัฒนาบ้านเมืองให้มั่นคง ทรัพยากรมนุษย์จะได้เข้มแข็ง การคัดเลือกคนมาดูการศึกษาแบบผิดฝาผิดตัว นั่นก็หมายความว่ารัฐบาล ไม่เห็นความสำคัญกับการศึกษา ซึ่งจริง ๆ แล้วใครถนัดทางไหนก็ควรให้ไปทำงานทางนั้น ไม่ใช่เอาใครก็ได้มานั่งบริหารการศึกษา เหมือนที่ผ่านมาแต่งตั้งหมอบ้าง ทหารบ้าง นักธุรกิจบ้างมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ”ดร.ปรีชา กล่าว
ดร.นิวัตร นาคะเวช นายกสภาผู้ปกครองและครูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับตนไม่เกี่ยงว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรี แต่อย่างน้อยต้องเป็นคนที่เข้าใจบริบทของครู ของโรงเรียนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการศึกษาไม่เหมือนกับวิชาชีพอื่น เป็นวิชาชีพเฉพาะและวิชาชีพชั้นสูง จึงอยากได้รัฐมนตรีที่เข้าใจครูรู้วิถีชีวิตของครู เพราะตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นครูต้องอยู่กับเด็กตลอดชีวิต ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ต้องทุ่มเทอยู่ที่โรงเรียน ถ้ารัฐมนตรีไม่เข้าใจชีวิตครูก็จะไม่รู้ว่าครูยากลำบากขนาดไหน เพราะฉะนั้นใครที่มาเป็นรัฐมนตรีจะต้องสร้างให้ครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงจริง ๆ และเข้าใจหัวอกครูจริง ๆ ประเด็นต่อมาคือเมื่อผู้ใหญ่หรือรัฐมนตรีเข้าใจชีวิตของครูจะทำให้ครูสามารถพัฒนาเด็กได้อย่างมีพลัง ทำให้ครูมีกำลังใจในการสร้างเด็กให้มีคุณภาพได้
ดร.นิวัตร กล่าวต่อไปว่า การที่ประเทศชาติจะเดินไปได้อยู่ที่คนต้องมีคุณภาพ และการที่คนจะมีคุณภาพได้ไม่ใช่สติปัญญาอย่างเดียว แต่ต้องมีทักษะชีวิตต้องมีทักษะทางสังคม ครูต้องเป็นผู้ให้ สร้างเด็กให้เสียสละต่อสังคม มีทักษะในอาชีพและการมีงานทำ และสิ่งที่สำคัญคือต้องสร้างจิตใจเด็ก ตนมีความเชื่อเสมอว่า คนดีคือคนที่มีอารมณ์ดีและจิตใจดี และต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ดังนั้นคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะต้องสร้างเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งถ้าเด็กเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เมื่อไหร่ทรัพยากรของชาติก็จะดีขึ้น แต่ทุกวันนี้เรายังไม่สร้างคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่เราสร้างเพียงบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น
“ขอย้ำว่าสิ่งที่เราอยากได้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เข้าใจครู เข้าใจโรงเรียนและมาเพื่อสร้างเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะในบริบทของการศึกษาการจะแก้ปัญหาของชาติไม่ใช่มองไปที่โรงเรียนอย่างเดียว แต่ต้องมองไปถึงการบริหารในระดับรัฐบาล ระดับกระทรวง ระดับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ต้องมองปัจจัยต่าง ๆ ก่อนที่จะมองไปที่โรงเรียน แต่ทุกวันนี้สังคมมักจะโทษไปที่โรงเรียนเลย ไม่เคยโทษโครงสร้าง หรือระบบบริหารของกระทรวง หรือ สพฐ. หรือ รัฐบาลก็ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ซึ่งผมมองว่าเป็นอันตรายมาก ฉะนั้นขอฝากว่าคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีจะต้องมององค์รวมให้ชัด มองทั้งระบบบริหารจัดการโรงเรียนมอง ระบบครู นักเรียน และมองถึงผู้ปกครองด้วย นอกจากนี้สิ่งที่จะลืมไม่ได้ คือ ทำอย่างไรถึงจะกระจายอำนาจไปสู่โรงเรียนให้ได้ด้วย”ดร.นิวัตรกล่าว
ดร.วีรบูล เสมาทอง ประธานสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) กล่าวว่า ส.ค.ท.มีการประชุมกันมาเป็นระยะ และมีมติว่า ประสงค์อยากได้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นมืออาชีพและมีคุณสมบัติ 5 ข้อ ซึ่งจะนำเสนอต่อรัฐบาลรวมถึงหัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ โดยประการแรก คือ ต้องการคนที่เคยเป็นครู หรือ เคยบริหารเกี่ยวกับการศึกษามาก่อน เพราะวันนี้เราต้องการมืออาชีพ การศึกษาเรารอไม่ได้แล้ว 2. ต้องการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่มีคุณธรรมจริยธรรมและมีความจริงใจในการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส 3. เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย 4.ต้องเป็นรัฐมนตรีที่ใส่ใจในเรื่องของพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น พระรราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หรือพระราชบัญญัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการศึกษา และ 5.ต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการปกป้องสิทธิเด็กเพื่อสร้างเยาวชนให้เป็นคนที่มีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 ให้ก้าวทันโลก
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า โผรัฐมนตรี เศรษฐา 1 ล่าสุด จะได้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ จากพรรคภูมิใจไทย มาเป็น รมว.ศึกษาธิการ ดร.วีรบูล กล่าวว่า เราก็ไม่ขัด แต่ใจจริงอยากได้คนที่เป็นมืออาชีพ คนเคยเป็นครู พูดง่าย ๆ ถ้ามีตัวเลือกอื่นก็อยากได้คนที่เป็นครูมาก่อน อย่างที่มีโผมาว่าเป็น นายสุทิน คลังแสง จากพรรคเพื่อไทย เราอยากได้คนนี้มากกว่า ซี่งก็เสนอพรรคเพื่อไทยไปแล้ว ว่า อยากได้คนของพรรคเพื่อไทย เพราะเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ดูเรื่องการศึกษามาตั้งแต่เป็นไทยรักไทยซึ่งครูก็ได้ประโยชน์มาโดยตลอด
ดร.รัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา (ส.พ.บ.ค.) กล่าวว่า ตอนแรกที่มีข่าวว่า รัฐมนตรีที่จะมาดูแลกระทรวงศึกษาธิการ คือ นายสุทิน คลังแสง ซึ่งเคยเป็นครูมาก่อน พวกเรารู้สึกดีใจมากที่มีข่าวนี้ และทำให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีมีวิสัยทัศน์ ไม่เอาการเมืองมาเป็นตัวบริหารประเทศ แต่ดูความเหมาะสมในการจัดสรรคนมาดูแลประเทศ ก็ดีใจ เพราะนายสุทินเคยเป็นครูมาก่อนจะรู้งานของครู ของการศึกษาเป็นอย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญคือชาติบ้านเมือง การศึกษาจะต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องบริหารจัดการโดยผู้ที่รู้ ไม่ใช่ผู้ที่มาเพื่อเรียนรู้ ถ้าเอาผู้ที่มาเรียนรู้แต่ไม่เข้าถึงจิตวิญญาณของครูไม่มีทางที่จะทำให้การศึกษาไปข้างหน้าได้
“ สังเกตให้ดีว่าที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการไม่ว่ายุคไหนก็ตามถ้าได้บริหารโดยครูจะมีการขับเคลื่อนงานการศึกษาไปข้างหน้าอย่างดี แต่พอยุคไหนเอาคนที่ไม่เคยเป็นครูมาก่อน เป็นนักการเมืองทั่วไป เป็นการจัดสรรโควตามมา กว่าจะขับเคลื่อนงานแต่ละด้านได้ เพราะเป็นการขับเคลื่อนโดยคนที่ไม่รู้และบรรดาที่ปรึกษาก็ไม่ขัดใจนาย เพราะฉะนั้นทางสมาคมก็ต้องมีการเคลื่อนไหว จะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาความเหมาะสม กระทรวงอื่นผมไม่รู้ว่าจะอย่างไรแต่กระทรวงศึกษาธิการต้องบริหารโดยคนที่มีประสบการณ์และมีความรู้และเคยเป็นครูมาก่อน เพราะเขาจะเห็นภาพของห้องเรียน เห็นภาพของนักเรียนไม่ใช่เห็นภาพเด็กแต่งชุดนักเรียน ไม่ใช่เห็นภาพเสาธงคือครู แต่ต้องเห็นภาพจิตวิญญาณของครู ต้องเห็นภาพการพัฒนานักเรียน ว่าอะไรคืออุปสรรคของการพัฒนาการศึกษา คนเป็นครูเท่านั้นจึงจะรู้ ถ้าไม่เป็นครูไม่มีทางรู้ เพราะฉะนั้นก็ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกรุณาทบทวน ผมไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นตำรวจจะมาบริหารกระทรวงศึกษาธิการไม่ดีหรือไม่อย่างไร ขอไม่วิจารณ์แต่อยากได้คนที่เคยเป็นครูมาบริหาร”ดร.รัชชัยย์ กล่าวและว่า เวลานี้องค์กรครูด้วยกันกำลังหารือกันเพื่อเรียกร้องขอให้นายกรัฐมนตรีทบทวน ขอให้เป็นเพียงกระแสข่าว ขอให้ความเป็นจริงคือ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลโปรดให้ความสำคัญกับเรื่องของเศรษฐกิจ การศึกษาและความมั่นคง เป็นหลัก
นายธนชน มุทาพร แกนนำเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย(ค.อ.ท.)กล่าวว่า พวกเราอยากได้คนที่จะมาดูแลการศึกษา เป็นคนที่มีประสบการณ์ในความเป็นครู หรือประสบการณ์ในการบริหารการศึกษามาก่อน แต่โผล่าสุดว่าจะให้ตำรวจเข้ามาดูแลครู ตนไม่เห็นด้วย เพราะไม่รู้ว่าระบบการปกครองตำรวจกับครู เหมือนกันหรือเปล่า เท่าที่ทราบระบบของตำรวจไม่เหมือนกับระบบของครู จึงไม่รู้ว่าถ้าตำรวจมาจริง ๆ จะมาทำให้ระบบของครูผิดเพี้ยนไปหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดขณะนี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ยังตกค้างในสภา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้คนที่รู้เรื่องการศึกษามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าได้คนที่มีประสบการณ์ มีความเข้าใจของความเป็นครู ก็ไม่ต้องมาเริ่มศึกษาใหม่ ที่สำคัญกระทรวงศึกษาธิการไม่ใช่ใครก็ได้มาเป็นรัฐมนตรี ไม่ใช่ของที่จะต้องเอามาเลหลัง
“กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกระทรวงที่พัฒนาคน เป็นกระทรวงที่พัฒนาเป็นผู้นำ ถ้าให้ผมเลือกก็อยากให้พรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารกระทรวงศึกษาธิการ โผ ครม.เศรษฐา 1 ว่านายสุทิน คลังแสง จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พวกเราชาวการศึกษาพากันดีใจ เพราะนายสุทิน เคยเป็นนักบริหาร เป็นครูเก่า เป็นคนที่เข้าใจครูเป็นอย่างดี เป็นคนที่คลุกคลีกับวงการศึกษามาโดยตลอด และเป็นนักประสานงานเป็นนักประชาธิปไตยมีประสบการณ์กับการทำงานกับครูมามาก”นายธนชนกล่าว