เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี จังหวัดชลบุรีโดยมี นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหนา้ ที่การตลาด บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหาร อมตะซิตี้ และผู้บริหารสถานศึกษา ให้การต้อนรับ ว่า ตนให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับอาชีวศึกษามาก เนื่องจากเป็นการจัดการศึกษาที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ และเห็นว่าการจัดการอาชีวศึกษา สามารถตอบสนองทุกมิติของการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาต้องมุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ โดยการนำระบบและกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่าย รวมถึงพันธมิตรที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ความรู้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของสถานประกอบการในภาคเอกชนมาร่วมจัดการอาชีวศึกษาอย่างเข้มแข็ง ซึ่งเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการ จะจัดการศึกษาระบบทวิภาคีเพิ่มขึ้น 50% ในปี 2568
“ตอนนี้ ทราบว่า สอศ.จะจัดตั้งศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี ครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อทำหน้าที่ในการวางแผนความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ จัดทำฐานข้อมูลกำลังคน ดูแลอำนวยความสะดวก และสวัสดิการของผู้เรียนอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในเขตพื้นที่ ส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ซึ่งถือเป็นทิศทางและการพัฒนาทักษะอาชีพที่ดีเยี่ยม”รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา กล่าวว่า สอศ.ได้นำนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดเป้าหมายของประเทศในการผลิตและพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีความพร้อม มีทักษะสมรรถนะสูง ตรงตามความต้องการกำลังคนของภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง โดยรมว.ศึกษาธิการ เล็งเห็นความสำคัญและได้กำหนดนโยบายให้ สอศ.มุ่งผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนของสถานประกอบการ โดยให้เพิ่มปริมาณผู้เรียนอาชีวศึกษาทวิภาคีเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งขยายความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และสถานประกอบการคุณภาพ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาอาชีวศึกษา มีทักษะสมรรถนะสูง ตรงตามความต้องการกำลังคนของสถานประกอบการ มีอาชีพ และมีรายได้ที่เหมาะสม
เลขาธิการ กอศ. กล่าวว่า ปัจจุบันสอศ.มีจำนวนผู้เรียนทวิภาคี 151,551 คน คิดเป็น15% จึงมีนโยบายเร่งด่วน (Quick win) ในการยกระดับอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี มีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนปริมาณผู้เรียนทวิภาคีให้ได้ 255,589 คน หรือ 25% ในปี พ.ศ.2566 และขยับเพิ่มขึ้นเป็น 511,177 คน หรือ 50% ในปีพ.ศ.2568 เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาสมรรถนะสูง รองรับกับความต้องการกำลังคนในการพัฒนาประเทศต่อไป
ด้านนายวิบูลย์ กล่าวว่า ระบบทวิภาคีเป็นระบบการเรียนการสอนที่ตอบโจทย์ของประเทศ เพราะได้เรียนไปทำงานไปเนื่องจากบ้านเราต้องการคนทำงานที่เป็นนักเทคนิคซึ่งจะเข้ามาเสริมภาคอุตสาหกรรม เด็กอาชีวะล้านกว่าคนคือฐานกำลังที่ใหญ่มาก ต้องเอามาแปลงให้เป็นประโยชน์ เราอย่าไปมองแค่เด็กอาชีวะที่ตีกันซึ่งเป็นแค่จุดเล็กๆ อีกอย่างอย่าไปมองเรื่องวุฒิการศึกษา เรามองแค่ว่าทำงานได้ก็พอแล้ว