เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายสวัสดิ์ เพชรบูรณ์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนหอวัง เปิดเผยว่า ตนได้เดินทางไปยื่นฟ้องคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (บอร์ด ก.ค.ศ.) ต่อศาลปกครองกลาง กรณีที่ก.ค.ศ. พิจารณาให้เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินวิทยฐานะ ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ ศธ.0206.3/ว.13 หรือเกณฑ์ ว13 เรื่องการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยาฐานะเชี่ยวชาญ ซึ่งเปิดให้ยื่นตั้งแต่ปี 2559 และเพิ่งได้รับแจ้งผลการพิจารณาว่าเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติในปี 2561 ทำให้ครูและผู้บริหารสถานศึกษาหลายรายเสียสิทธิ และได้มีการเข้าร้องเรียนต่อ ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และบอร์ด ก.ค.ศ. และก.ค.ศ. มีมติให้ผู้ที่เสียสิทธิยื่นหนังสือขอให้ทบทวนหลักเกณฑ์ไปยังต้นสังกัด คือ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต่อมาได้รับแจ้งจากก.ค.ศ.ว่า ตนเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินตามว13 นั้น
นายสวัสดิ์ กล่าวต่อไปว่า ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสูด เพื่อขอให้ทบทวนใน 3 ประเด็น คือ ขอให้ยกเลิกหนังสือคำสั่งเปลี่ยนเกณฑ์การรับรองรางวัล ตาม ว1/2559 การให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ทุกตำแหน่ง ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งกำหนดรางวัล เชิงประจักษ์ใหม่ จำนวน 203 รางวัล ถ้าไม่ยกเลิกก็ขอให้พิจารณารางวัลเทียบเคียงด้วย เช่น รางวัลเสมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ระดับดีเด่น โครงการสถานศึกษาป้องกันยาเสพติดดีเด่น ซึ่งเคยใช้ขอวิทยฐานะเชิงประจักษ์ได้ และขอให้เพิกถอนมติคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ทั้งหมดที่ ระบุว่า ตนไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน
นายสวัสดิ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ครูส่วนใหญ่ที่ฟ้อง ว13 เพราะเขามีคุณสมบัติครบ ซึ่งเดิมคนกลุ่มนี้ มีกำหนดส่งหลักฐานเข้ารับการประเมินในปี 2558 แต่ก.ค.ศ. ส่งหนังสือแจ้งให้ชะลอการส่งเอกสารไว้ก่อน และต่อมา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 ได้มีการออกคำสั่งว 1/ 2559 กำหนดรางวัลใหม่ 203 รางวัล และให้ส่งภายในวันที่ 30 เมษายน 2559 ทำให้แต่ละคนมีเวลาเตรียมตัวเพียง 2 เดือน 21 วัน ซึ่งไม่มีใครทำทัน และในหลักเกณฑ์ กำหนดให้ใช้รางวัลเทียบเคียงได้ แต่พอส่งรางวัลเทียบเคียงไป ก.ค.ศ. กลับบอกว่า ไม่มีรางวัลเทียบเคียง และตัดสิทธิเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน ทำให้ผู้ยื่นการประเมินทั้งหมด จาก 5,337 ราย ผ่านการพิจารณาเพียง 364 ราย ขณะนี้ผู้เสียสิทธิแต่ละคนได้ทยอยฟ้องก.ค.ศ.แล้ว ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเสียสิทธิกรณีไหน เช่น บางคนได้รับรางวัลเข็มลูกเสือสดุดีชั้น1 แต่ก.ค.ศ. สอบถามถึงเกียรติบัตรเพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน ก็ไม่มีเพราะรางวัลนี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เท่ากับว่า ก.ค.ศ. ดูแต่หลักฐานที่เป็นเอกสาร แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ก.ค.ศ. ไม่มีความรู้ว่า รางวัลแต่ละอย่างที่ได้มามีหลักฐานเป็นอะไร และรางวัลที่ขอเป็นรางวัลเชิงประจักษ์ แต่มาตรวจแค่เอกสาร ซึ่งตนเชื่อว่า ทุกๆ คนจะทยอยฟ้องกัน