เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2565 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(บอร์ด.กพฐ.)ทั้งนี้ได้ให้สัมภาษณ์ กรณีออกประกาศ ศธ.ให้แยกวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ออกจากกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเรื่องประวัติศาสตร์ อยากให้ทุกคนตระหนักรู้ ให้รักชาติความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย ซึ่งวันนี้ตนได้มอบหมายให้บอร์ด กพฐ.ไปพิจารณาเห็นชอบการแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาเป็นวิชาอีกรายวิชาหนึ่ง จากปกติที่เรามี 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหนือกว่านั้นก็คือ ตนต้องการทราบว่าเด็กได้อะไรจากการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งการเรียนแบบท่องจำอาจไม่ใช่คำตอบของการทำให้เรามีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย ดังนั้นเพื่อให้เด็กมีความตื่นตัวและเข้าใจบรรพบุรุษที่ได้เสียสละ เขามีกระบวนการคิดและผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร ทำอย่างไรจะให้ครูมีความสามารถให้เด็กสนุกกับการเรียนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เน้นเรื่องการท่องจำอย่างเดียว ซึ่งเราจะต้องนำกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning มาใช้ มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง
“ดิฉันคิดว่า วิชาประวัติศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชาติ เพราะเราได้เรียนรู้กระบวนการคิดของบรรพบุรุษ ว่าเขามีกระบวนการคิดอย่างไรถึงนำชาติไทยผ่านวิกฤตเหล่านั้นมาได้ ซึ่งในอนาคตจะต้องมีการอบรมพัฒนาครูสอนประวัติศาสตร์ให้มีความเข้าใจเรื่องนี้ด้วย รวมถึงต้องหารือคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.)ในการพิจารณาบรรจุครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย ”รมว.ศึกษาธิการ
ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาจากกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จะไม่กระทบต่องบประมาณใด ๆ ทั้งสิ้น และจะไม่มีการพิมพ์หนังสือระเบียนแสดงผลการเรียน(ปพ.1) เพราะในวิชาสังคมศึกษามี 4 กลุ่มวิชาอยู่แล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีวิชาประวัติศาสตร์รวมอยู่ด้วย ซึ่งในเชิงธุรการจะไม่มีการแก้ไขอะไร ขณะเดียวกันก็จะไม่เพิ่มเวลาเรียน เพียงแต่เราอยากออกแบบโครงสร้างการเรียนใหม่เท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และในการผลิตครูก็จะได้ผลิตครูประวัติศาสตร์โดยตรงด้วย
ด้าน ศ.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)กล่าวว่า การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมาครั้งนี้เราต้องการเน้นการศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์เป็นการเชื่อมโยงอดีตสู่อนาคต เชื่อมโยงทั้งมิติการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หน้าที่พลเมือง ซึ่งเป็นตัวที่จะช่วยการเชื่อมโยงหน้าที่และการพัฒนาสังคม แทนที่จะเรียนแบบทั่วไป แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเรียนรู้ถึงความทุ่มเทเสียสละในอดีตที่ผ่านมา แนวคิดต่าง ๆ ในการสร้างชาติ พัฒนาเศรษฐกิจสังคม และการปกครองเป็นอย่างไร เพื่อนำไปสู่กระบวนการคิดที่เหมาะสม ไม่ใช่การเรียนแบบท่องจำ เป็นต้น