เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ที่กระทรวงศึกษาธิการ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) กับ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และ มูลนิธินโยบายสาธารณะไทย และมอบนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.อรรถพล สังขวาสี ปลัดศธ. ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดร.สุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการสภาการศึกษา นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายโชติ โสภณพนิช ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย และผู้บริหารศธ.ร่วมในพิธี
ทั้งนี้ พลเอกประวิตร กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการพัฒนาองค์ความรู้ด้านบริหารทรัพยากรน้ำในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงาน ที่มุ่งมั่นในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความมั่นคง และเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน นับว่าเป็นการยกระดับความเข้มแข็งของการดำเนินงานร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่สนับสนุนแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจากการร่วมลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง และขอเน้นถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่สำคัญของชาติ โดยปัจจุบันมีคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทำหน้าที่ในการบูรณาการและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีเอกภาพ อย่างไรก็ตามจะต้องสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะต้องพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการที่จะร่วมคิดร่วมวางแผน ร่วมพัฒนาและใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน
น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า ขอขอบคุณ ดร.คุณหญิงกัลยา ในฐานะประธานโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ที่เป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้มีการบูรณาการองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการน้ำเข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อเป็นการสร้างรากฐานให้เยาวชน และการพัฒนาบุคลากรทางการเกษตรได้นำความรู้ไปใช้ในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบในชุมชนท้องถิ่นของตนเอง เพื่อสังคมที่มีความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน
ดร.คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ ซึ่งการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในภารกิจและแผนการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะสร้างคุณประโยชน์อย่างมหาศาลให้กับประเทศชาติ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ การบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน ในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการสร้างศักยภาพ การผลิตชลกรและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ท้องถิ่นและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยชุมชนอย่างยั่งยืน โครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน ตามแนวพระราชดำริ เกิดขึ้นด้วยปณิธาน 1.ต้องการจะสืบสานแนวพระราชดำริ ช่วยเกษตรกรให้มีน้ำใช้ แก้จน แก้น้ำล้น พ้นภัยแล้ง 2.ต้องการสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ วางรากฐาน “น้ำเพื่อการเกษตร” 3.ต้องการสร้างหลักสูตร “ชลกร” เพื่อให้สถานศึกษาเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ 4.ต้องการสร้าง Smart Farmer โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม มายกระดับการทำการเกษตร และ 5.ต้องการที่จะยกระดับองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำสู่มาตรฐานสากล สำหรับวัตถุประสงค์หลักของความร่วมมือในครั้งนี้ก็เพื่อบูรณาการความร่วมมือ สนับสนุนการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ เพื่อบูรณาการสร้างการเรียนรู้ของชุมชน แก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการสร้างศักยภาพ การผลิตชลกรและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ท้องถิ่นและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยชุมชนอย่างยั่งยืน เป็นการยกระดับองค์ความรู้เรื่องการบริหารจัดการน้ำไปสู่ระดับสากล”รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) กล่าวว่า หลังจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้รับมอบนโยบายจาก รมช.ศึกษาธิการ จึงได้ดำเนินการเปิดหลักสูตรนักบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร หรือ ชลกร ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี นำร่อง 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี(วษท.)มหาสารคาม วษท.ร้อยเอ็ด วษท.อุบลราชธานี วษท.ยโสธร และ วษท.ศรีสะเกษ จัดการเรียนการสอนการบริหารจัดการน้ำในทุกมิติ โดยหลักสูตรชลกร รุ่นที่ 1 ระดับ ปวส. ในภาคการศึกษา 2564 ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีนักเรียนสมัครเข้าเรียนเต็มจำนวนที่แต่ละวิทยาลัยรองรับได้ และนักเรียนทุกคนได้รับทุนการศึกษาเรียนฟรีตลอดหลักสูตร 2 ปี จาก มูลนิธินโยบายสาธารณะไทย ซึ่งหลักสูตรบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ภายใต้สาขาวิชาช่างกลเกษตร ได้รับการพัฒนาองค์ความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการน้ำในระดับสากล
“ปี 2565 มีวิทยาลัยที่เข้าร่วมจัดการเรียนการสอนหลักสูตรชลกร รุ่นที่ 2 เพิ่มอีก 7 แห่ง ได้แก่ วษท.นครราชสีมา วษท.ขอนแก่น วษท.บุรีรัมย์ วษท.ชัยภูมิ วษท.อุดรธานี วษท.สระแก้ว และ วษท.สุโขทัย รวมเป็น 12 แห่ง เพื่อรองรับผู้เรียนได้เพิ่มขึ้น โดยภารกิจภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ สอศ. มีแผนดำเนินการขยายผล หลักสูตรนักบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร หรือ “ชลกร” สู่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ทุกแห่งทั่วประเทศ โดยจะนำองค์ความรู้ที่ได้มานำไปปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ตลอดจนการฝึกอบรมระยะสั้น รวมทั้งการพัฒนาครูผู้สอนโดยการอบรม Train the Trainers หลักการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชน เพื่อส่งเสริมและบูรณาการความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรน้ำ โดยมีวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสังกัด สอศ. เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนของแต่ละพื้นที่” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว
นายโชติ กล่าวว่า มูลนิธินโยบายสาธารณะไทย เล็งเห็นความสำคัญของโครงการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ มาตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนของคนในชาติได้อย่างยั่งยืน และต้องการสนับสนุนความตั้งใจของ ดร.คุณหญิงกัลยา ในการขับเคลื่อนงานโดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ให้กับนักศึกษาเพื่อให้สามารถนำมาต่อยอดและขยายผลสู่คนรุ่นต่อไปได้ โดยยังยืนยันเจตนารมณ์ของมูลนิธิโยบายสาธารณะไทยที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังที่โครงการฯ ตั้งเป้าหมายไว้ ในการสร้างประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำต่อสังคมโดยรวม
ด้าน ดร.สุรสีห์ กล่าวว่า “ที่ผ่านมาสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ดำเนินงานตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่ได้ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ประกอบกับพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พุทธศักราช 2561 มีเจตนารมณ์ที่จะให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความประสานสอดคล้องกันในทุกมิติอย่างสม ดุลและยั่งยืน รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมกันบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การลงนามบันทึกความเข้าใจของทั้ง 3 หน่วยงานในการที่จะร่วมกันบูรณาการความร่วมมือในครั้งนี้ จึงสอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวโดยมีเป้าหมายร่วมกันในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชุมชนและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้ำมีความเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และคาดหวังว่าจะเกิดผลสัมฤทธิ์คือประโยชน์สุขของประชาชนอันเกิดจากการบริหารจัดการน้ำของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป