เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างแนวทางการปรับปรุงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ประกอบด้วย 1.ระบบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู กำหนดให้มีใบรับรองการปฏิบัติการสอน (Provisional Teaching Certificate) และใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และ 2.ระบบการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครูเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้น (Basic Professional Teaching License: B-icense)
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อว่า โดยหลักการร่างแนวทางดังกล่าวกำหนดว่า ทุกคนที่จบสายครูจะได้รับใบรับรองการปฏิบัติการสอนโดยอัตโนมัติ เพื่อนำไปใช้ในการสอบบรรจุครูผู้ช่วย และเมื่อได้รับการบรรจุเป็นครูผู้ช่วยแล้ว จะมีระยะเวลา 2 ปี ในการพัฒนาตนเอง เพื่อเลื่อนฐานะจากครูผู้ช่วยมาเป็นครู ซึ่งต้องเข้ารับการทดสอบและประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครูเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นต้น โดยกำหนดให้มีการทดสอบความรู้และประเมินสมรรถนะทางวิชาชีพ ตามมาตรฐานวิชาชีพครู ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ประกอบด้วย วิชาครู (PCK และทักษะวิชาชีพครู) และ วิชาที่สอน (Content พื้นฐาน) โดย แบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้ ปฐมวัย การศึกษาพิเศษ วิชาบูรณาการ วิชาเฉพาะ (ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน) และ อาชีวศึกษา (ตามหลักสูตรการอาชีวศึกษา แยกตามสาขา/แขนง) และเมื่อได้ B-icense แล้ว ครูจะต้องมีการพัฒนาตนให้สูงขึ้นไปอีก เพื่อให้ได้วิทยฐานะและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั้นสูง (Advanced Professional Teaching License : A-license)
“การปรับครั้งนี้ถือเป็นการรื้อระบบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพใหม่ โดยมี 3 หลักการ คือ 1.ยืดหยุ่น ให้คนที่จบสายครูทุกคนมีโอกาสสอบบรรจุเข้ารับราชการครูได้ 2.ต้องการปรับระบบให้เทียบเคียงกับนานาชาติ และ 3.เชื่อมโยงระบบการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ของคุรุสภา กับระบบวิทยฐานะ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ให้เป็นระบบเดียวกัน และเป็นการพัฒนาระบบวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่องและราบรื่นที่สุด” น.ส.ตรีนุช กล่าวและว่า ทั้งนี้จะมีการนำร่างแนวทางดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ก่อนกลับเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาพิจารณาอีกครั้ง”