ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID -19 ตั้งแต่ปี 2562 ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการศึกษาทางไกล การจัดการเรียนการสอนผ่านช่องทางอื่น ๆ ได้แก่ จากแบบเรียนและใบความรู้ การเรียนด้วยตนเองผ่านแหล่งเรียนรู้ต่างๆ การเรียนผ่านระบบออนไลน์ การใช้ห้องเรียนเสมือน( Virtual Classroom) การเรียนการสอนในรูปแบบโปรแกรม ZOOM โปรแกรม Google MEET การเรียนรู้ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook และแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ในสถานการณ์วิกฤติ ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องให้เกิด”การศึกษาขั้นพื้นฐานวิถีใหม่ วิถีคุณภาพ” ซึ่งเน้นความปลอดภัยในสถานศึกษา ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม และมีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในการดำเนินงานดังกล่าว อุปสรรคสำคัญคือ ความไม่พร้อมในอุปกรณ์การเรียนออนไลน์ของเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่ผู้ปกครองมีรายได้น้อยจะมีปัญหาเรื่องของอุปกรณ์การเรียน เช่น ขาดคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีบุตรหลานในวัยเรียน มากกว่า 1 คน จะเผชิญกับข้อจำกัดในการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติม กระทรวงศึกษาธิการในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาทุกระดับทั้งในและนอกระบบ ได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงเห็นควรให้มีการระดมทุนเพื่อจัดหาอุปกรณ์การเรียนออนไลน์ ตามนโยบายคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์(Coding) แห่งชาติ ที่ได้มีการประชุมเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2564 และพิจารณาว่าการสนับสนุนอุปกรณ์ สำหรับใช้ในการเรียนออนไลน์ของนักเรียนมีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลและสนับสนุน โดยเฉพาะการจัดหาอุปกรณ์ ซึ่งสามารถดำเนินการระดมทุนได้ด้วยการรับบริจาคทั้งที่เป็นเงินสดและอุปกรณ์จากภาคเอกชนในลักษณะของ Crowdfunding ซึ่งกฎหมายของประเทศไทยเอื้อให้ดำเนินการได้
ดร.กมล กล่าวว่า กระบวนการรับบริจาค มีทั้ง บริจาคเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเรียนออนไลน์ของนักเรียนได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่(Smartphone) คอมพิวเตอร์พกพา( Notebook/ Tablet) คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ( Computer PC) โทรทัศน์อัจฉริยะ( Smart TV) เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ที่รับบริจาคต้องเป็นของใหม่หรือมีอายุการใช้งานไม่เกิน 1 ปี และอยู่ในสภาพพร้อมใช้ และ บริจาคเป็นเงินสด ทั้งนี้แนวทางการดำเนินการจะมีการจัดหาและสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์สำหรับเด็กนักเรียน โดยในระดับกระทรวงศึกษาธิการมีการระดมทุนจากภาคเอกชน การขอความร่วมมือจากผู้จำหน่ายอุปกรณ์ให้ขายในราคาพิเศษในระดับหน่วยงานองค์กรหลัก ในระดับจังหวัดหรือเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษา อาจจัดทำโครงการในชื่อของ “พี่ใหญ่ให้ยืม “ “โครงการพี่ช่วยน้อง” “ ศิษย์เก่าช่วยจัดหา” จากนั้นจะมีการกำหนดวิธีการแจกจ่ายหรือระบบการมอบอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อให้ยืมเรียนซึ่งในการ ยืมสิ่งของและอุปกรณ์จะเป็นการยืนยันได้ว่าผู้เรียนจะรับไปเพื่อใช้ในการเรียนรู้ ต้องมีการวางระบบเพื่อรักษาอุปกรณ์ที่ยืมเป็นอย่างดี เมื่อเกิดความเสียหายจะต้องมีการซ่อมแซม หรือจัดหาทดแทนให้ครบตามจำนวนที่สูญหาย
“โครงการนี้ จะเป็นการสร้างมิติใหม่ ของการระดมทรัพยากรทางการศึกษา และเมื่อนำมาใช้ก็เน้นการบริหารจัดการในระบบการยืม แทนการให้เปล่า ซึ่งจะต้องใช้จ่ายด้วยงบประมาณมหาศาลมากกว่านี้ ส่งเสริมเด็กให้ดูเเลรักษาและรับผิดชอบสิ่งของที่ได้ยืมมา ประชาชนทั่วไป ศิษย์เก่า ผู้มีความพร้อม ก็ได้มีโอกาสเผื่อแผ่ความพร้อมที่ตนมี ไปยังบุคคลที่ลำบากกว่า ซึ่งน่าจะเป็นอีกเเนวทางหนึ่งของการดูแลช่วยเหลือเด็กนักเรียนและผู้ขาดโอกาส ให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และทัดเทียมกับผู้ที่มีความพร้อมในสังคม”ดร.กมลกล่าว