เมื่อเวลา 08.15 น. วันที่ 4 ตุลาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการ “ Kick off สร้างเกราะป้องกันด้วยวัคซีน เด็กปลอดภัย เรียนอุ่นใจ ต้อนรับเปิดเทอม” ณ โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์วันนี้ที่รัฐบาลมีความห่วงใยหลัก ๆ คือ สถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์อุทกภัย และสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาทุกอย่าง เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีปัญหาอะไรก็แก้ไปให้ดีที่สุดจนกว่าจะเรียบร้อย สำหรับสถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบมากมายทั่วโลกไม่ใช้เฉพาะประเทศไทย หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกหลายล้านคน เรื่องการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมีผลกระทบกับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา วันนี้รู้สึกมั่นใจในการบริหารจัดการด้านการศึกษา สามารถจัดการศึกษาในช่วงโควิด-19 ได้อย่างต่อเนื่องโดยจัดการเรียนการสอน 5 ออน ทั้งออนไลน์ ออนแฮนด์ ออนดีมานด์ ออนแอร์ และออนไซต์ ซึ่งมีบทบาทอย่างมาก แต่ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ในการเรียนการสอนเด็กที่อยู่บ้านเราก็จะเห็นภาพผู้ปกครองไปนั่งเรียนกับลูกด้วย คงไม่ใช่เป็นภาระ ตนถือว่าถ้ามีเวลาก็อยู่กับลูกกับหลาน เรียนรู้ไปด้วยกัน ก็ต้องขอโทษด้วยถ้าถือเป็นภาระแต่ก็คิดว่ามีความใกล้ชิดกันในครอบครัวยิ่งขึ้น
“ โครงการวันนี้เป็นการส่งเสริมและเตรียมความพร้อมให้การศึกษาเดินหน้าไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ฉีดวัคซีนไปแล้วระยะแรก พอเปิดเทอมก็จะได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน เพื่อให้ความมั่นใจกับผู้ปกครองที่ต้องส่งบุตรหลานมาโรงเรียน วัคซีนวันนี้เป็นไฟเซอร์ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง และได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ แคนาดา ก็อนุมัติให้ใช้กับเด็กอายุ 12ปีขึ้นไปแล้ว ถ้าเราฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมทั้งหมดทั้งเด็ก ครูและบุคลากรทางการศึกษาก็จะทำให้การเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ทำได้อย่างต่อเนื่อง”นายกฯกล่าว
นายกฯให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดว่า คาดว่าการฉีดวัคซีนวันนี้จะทำให้สถานการณ์ที่อาจเกิดในอนาคตลดลง หรือไม่เกิดเลย โดยในเด็กก็มียี่ห้อเดียวที่รับรองโดยองค์การอนามัยโลก ก็ต้องดูความปลอดภัยด้วย อย่างไรก็ตามมันมีความเสี่ยง วันนี้เป็นการฉีดด้วยความสมัครใจ ซึ่งก็ไม่อยากให้ใครเป็นอะไรทั้งนั้น สำหรับการนำวัคซีนซิโนฟาร์มมาใช้ในเด็กยังรอขึ้นทะเบียนอยู่ ก็ติดตามความคืบหน้าอยู่ แม้กระทั่งวัคซีนบางตัวปีหน้าถ้าผลิตขึ้นมาใหม่ที่ดีกว่าเดิมเราก็มีสัญญาว่าจะสั่งชุดใหม่มาทดแทนได้ อย่างไรก็ตามในภาพรวมเรื่องวัคซีนเรามีเพียงพอ แต่ปัญหาคือต้องฉีดให้ทัน ส่วนวัคซีนทางเลือกก็เป็นอีกทางเลือกที่ประชาชนอาจต้องเสียเงิน แต่ถ้าไม่ไปรัฐบาลก็ยินดีฉีดให้อยู่แล้ว
น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ ว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่เกิดจากความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี เป็นการเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยเพื่อการเปิดภาคเรียน โดยมีการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กนักเรียน อายุ 12-18 ปี ทุกสังกัดทั่วประเทศ ซึ่งศึกษาธิการจังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเก็บจำนวนผู้ปกครองที่ยินยอมประสงค์ให้นักเรียนฉีดวัคซีน เพื่อประสานกับสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศซึ่งจะทำให้กระบวนการฉีดวัคซีนคลอบคลุมทุกพื้นที่อย่างรวดเร็ว และจากการตรวจสอบกับทางกระทรวงสาธารณสุขทราบว่า ขณะนี้วัคซีนได้ส่งไปถึงบางจังหวัดแล้ว และจะมีการฉีดให้เด็กต่อไป สำหรับการ Kick off วันนี้จะเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กใน 15 โรงเรียน 13 เขตสุขภาพ ก่อน ส่วนจำนวนนักเรียนที่ผู้ปกครองยินยอมให้ฉีดวัคซีนในโครงการ ณ เวลานี้มีจำนวนเกือบ 80% แล้ว และถ้ามีผู้ปกครองมีความประสงค์จะให้นักเรียนฉีดเพิ่มมากกว่านี้กระทรวงศึกษาธิการจังหวัดก็จะประสานกระทรวงสาธารณสุขในการจัดสรรเพิ่มเติมต่อไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลหากจะมีเด็กต้องการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมเราก็พร้อมที่จะเก็บตก
“ตอนนี้คาดว่า วันที่ 1 พฤศจิกายน จะเปิดเทอมแน่นอน แต่ต้องประเมินว่าจะเปิดรูปแบบไหน โดยคำนึงถึงความปลอดภัย การรักษาระยะห่าง และมาตรการความปลอดภัยของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แต่อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนก็เป็นการยืนยันว่าถ้ามีการติดเชื้อจะไม่เกิดความรุนแรงกับเด็กและครอบครัว นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุขว่าจะฉีดวัคซีนกับครูและบุคลากรเพิ่มเติมหลังจากฉีดไปแล้ว 70% ซึ่งนายกฯก็ได้กำชับว่าไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น ครูที่ยังไม่ได้ฉีดก็ต้องได้รับการฉีดคู่ขนานกันไป ตลอดจนครอบครัวของเด็ก ๆ ด้วย เพราะได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุขว่าวัคซีนกำลังทยอยเข้ามาซึ่งจะสามารถฉีดให้คนไทยได้อย่างทั่วถึง”น.ส.ตรีนุชกล่าวและว่า นอกจากนี้สำหรับเด็กเล็กนั้น ขณะนี้กำลังรออยู่ว่า กระทรวงสาธารณสุขจะมีวัคซีนที่รองรับเพื่อฉีดให้เด็กได้