เมื่อวันที่ 27 พ.ค.64 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุม เห็นชอบให้ ก.ค.ศ.จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับสำนักงานราชบัณฑิตยสภา และสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการผลิตครูและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์, ประเมินผู้ขอรับการประเมินวิทยฐานะ, พัฒนาเกณฑ์มาตรฐานวิทยฐานะ และพัฒนาเกณฑ์วิทยฐานะ ในการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ที่จะเกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการดำเนินงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน ประกอบด้วย การกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะใหม่, การปรับระบบการประเมินวิทยฐานะ ควบคู่กับระบบการประเมินเงินเดือน, การปรับระบบการพัฒนาผู้บริหารก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง, การกำหนดเกณฑ์อัตรากำลังของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง และการวางแผนการผลิตและระบบคัดกรองครูที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบการศึกษา ทั้งนี้หากมีได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานดังกล่าวจะทำให้การพัฒนาระบบการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้านนายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงานราชบัณฑิตยสภา และ ส.ค.ศ.ท. จะเชื่อมโยงกับหลักเกณฑ์ ว.23/2563 ในเรื่องเกณฑ์อัตรากำลัง ซึ่งเป็นดีมานที่ศธ.ต้องการ ซึ่งหน่วยงานการผลิตจะต้องไปวางแผนการผลิตร่วมกัน จะต้องผลิตครูตอบสนองดีมาน ความต้องการครูใน 3 ส่วน คือ ความต้องการครูของ ศธ. ซึ่งเป็นผู้ใช้หลัก ความต้องการครูของสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกรุงเทพมหานคร และความต้องการครูของภาคเอกชน เพราะ ศธ.ไม่อยากให้สถาบันผลิตครู ผลิตครูจำนวนมากแล้วท้ายสุดจะเกิดภาวะว่างงาน ซึ่งหลักเกณฑ์ ว23 นี้จะสามารถช่วยให้ ศธ.คำนวนการใช้ครูในอีก 10 ปี ข้างหน้าได้