เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ รักษาราชการแทน รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2564 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่สำคัญ ดังนี้
- เห็นชอบ (ร่าง) ประมวลจริยธรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญ คือ มาตรฐานทางจริยธรรม 9 ข้อ 1. ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. ซื่อสัตย์ สุจริต มีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และต่อผู้เกี่ยวข้อง ในฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 3. กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้าแสดงออก และกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม 4. มีจิตอาสา จิตสาธารณะ มุ่งประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง 5. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน มุ่งมั่นในการปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยคำนึงถึงคุณภาพการศึกษาเป็นสำคัญ 6. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ 7. ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 8. เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คำนึงถึงสิทธิเด็ก และยอมรับความแตกต่างของบุคคล 9. ยึดถือและปฏิบัติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ โดยหลังจากนี้จะได้นำเสนอ คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.)เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลใช้บังคับกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงพนักงานราชการ ครูอัตราจ้าง ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานทางการศึกษาโดยอนุโลมต่อไป
- เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่อให้ทันและสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯนี้ โดยได้มีการศึกษาข้อมูล การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ และการนำผลการวิจัยมาเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว
สำหรับตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ได้กำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 3 ด้าน คือ 1. ด้านนิเทศการศึกษา 2. ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา และ 3. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับศึกษานิเทศก์ ครู สถานศึกษา หน่วยงานการศึกษา และส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เพื่อให้ศึกษานิเทศก์ได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญ ในการนิเทศการศึกษา มีการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อผู้เรียนได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ศึกษานิเทศก์เข้าถึงครู ห้องเรียน สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษามากขึ้น ได้รับทราบสภาพปัญหาและความต้องการของห้องเรียน สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษา สามารถนำมากำหนดแผนพัฒนา การนิเทศการศึกษา หรือพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนและคุณภาพการศึกษาได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ เป็นการลดกระบวนการและขั้นตอน โดยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ลดภาระในการจัดทำเอกสารและประหยัดงบประมาณเกี่ยวกับการประเมิน เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน และมี Big data ในการบริหารงานบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
- กำหนดให้ศึกษานิเทศก์ทุกคนทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้น เป็นประจำทุกปี ซึ่งข้อตกลงในการพัฒนางาน ประกอบด้วย 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน
โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง ในแต่ละรอบการประเมิน ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมิน เพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน
สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้
- คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ
1) มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาในแต่ละวิทยฐานะ
2) มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน
3) ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งย้อนหลัง 4 ปี ต้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยที่หนักกว่าโทษภาคทัณฑ์
- การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน สำหรับชำนาญการและชำนาญการพิเศษ
ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา กลยุทธ์ สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ในการนิเทศการศึกษา หรือการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ฯลฯ
ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือการพัฒนาสถานศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน ฯลฯ
สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ
- การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA)
- เกณฑ์การตัดสิน ในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ
โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯ นี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และยื่นคำขอผ่านระบบ DPA ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
- เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบริหารการศึกษา
สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่อให้ทันและสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์นี้ โดยได้มีการศึกษาข้อมูล การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ และการนำผลการวิจัยมาเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว
สำหรับตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ได้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ โดยกำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 5 ด้าน คือ 1. ด้านการบริหารและความเป็นผู้นำ การพัฒนาการศึกษา 2. ด้านการบริหารจัดการและการพัฒนาองค์กร 3. ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 4. ด้านการบริหารงานชุมชนและเครือข่าย และ 5. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน ครู สถานศึกษา หน่วยงานการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารการศึกษาได้พัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้นตามระดับวิทยฐานะ มีภาวะผู้นำในการบริหารวิชาการ และบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอน คุณภาพครู คุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดความเชื่อมโยง(Alignment and Coherence) ในระบบการประเมิน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ ลดความซ้ำซ้อนและงบประมาณ และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน นอกจากนี้ทำให้มี Big data ในการบริหารงานบุคคล สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
- กำหนดให้ผู้บริหารการศึกษาทุกคนทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ถึงส่วนราชการ ได้ตลอดปี ซึ่งข้อตกลงในการพัฒนางาน ประกอบด้วย 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ (ภารงานบริหาร จัดการศึกษาและคุณภาพการปฏิบัติงาน)
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คุณภาพข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบ โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง ในแต่ละรอบการประเมินต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมินเพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้
- คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ
1) มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาในแต่ละวิทยฐานะ
2) มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 1 รอบการประเมิน โดยต้องมีผลการประเมินที่นำมาเสนอขอ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
3) ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งย้อนหลัง 1 ปีต้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย ที่หนักกว่าโทษภาคทัณฑ์ หรือไม่เคยถูกวินิจฉัยชี้ขาดทางจรรยาบรรณวิชาชีพ ที่หนักกว่าภาคทัณฑ์
- การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้านสำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนกลยุทธ์ การใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมทางการบริหาร ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบ สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ
- การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินตามระบบ
- เกณฑ์การตัดสิน ด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับ วิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ สำหรับด้านที่ 3 ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ
4.เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
ตามที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ตามนัยมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 โดยกำหนดให้เฉพาะสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ สำหรับตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพื่อให้การย้ายตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการด้วยความเรียบร้อย มีมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โดยนำหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ ของ สพฐ. มาเป็นแนวทางในการจัดทำร่างหลักเกณฑ์และวิธีการฯ นี้ โดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายฯ สรุปสาระสำคัญ คือ การย้ายผู้บริหารการศึกษา มี 3 กรณี
- การย้ายกรณีปกติ ได้แก่ การย้ายกรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดยให้ดำเนินการย้ายให้แล้วเสร็จก่อนที่จะบรรจุและแต่งตั้งบุคคลจากบัญชีผู้ได้รับการคัดเลือก
- การย้ายกรณีพิเศษ ได้แก่ การย้ายเนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือการย้ายเนื่องจากถูกคุกคามต่อชีวิต หรือการย้ายเพื่อดูแลบิดามารดา คู่สมรส บุตร ซึ่งเจ็บป่วยร้ายแรง โดยต้องมีเอกสารหลักฐานทางราชการ หรือทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ประกอบการพิจารณาด้วย
- การย้ายเพื่อความเหมาะสมและประโยชน์ของทางราชการ ได้แก่ การย้ายเพื่อแก้ปัญหาการบริหารจัดการศึกษา หรือการย้ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
โดยการย้ายผู้บริหารการศึกษา ทุกกรณี ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 เสนอรายชื่อให้ อ.ก.ค.ศ.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาอนุมัติย้าย เมื่อ อ.ก.ค.ศ.สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาอนุมัติการย้ายแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 สั่งบรรจุและแต่งตั้ง